บทนำสู่พระธรรมโรม 8:14-27
พระธรรมโรม 8:14 เชื่อมโยงกับพระคัมภีร์ข้อก่อนหน้ากับสาระสำคัญของการรับรองถึงความรอดในพระคัมภีร์ข้อถัดไป อัตลักษณ์ของบุตรของพระเจ้าคือพวกเขาทำตามพระวิญญาณและดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะ แทนที่จะทำตามเนื้อหนังและดำเนินชีวิตในบาป
พระธรรม 8:14-27 เป็นข้อความที่อาจใช้ชื่อว่า “ความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในโลกที่ล้มลงในบาป”
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่านพระธรรมโรม 8:14-27 ให้กลุ่มฟัง
หมายเหตุ ศึกษาไปทีละข้อ
(โรม 8:14) ลักษณะของบุตรของพระเจ้าคือเขาทำตามพระวิญญาณและดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะแทนที่จะทำตามเนื้อหนังและดำเนินชีวิตในบาป
โรม 8:14-17 อธิบายถึงความมั่นใจในความรอดส่วนบุคคลซึ่งประทานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
(โรม 8:15) ในฐานะผู้เชื่อ เราไม่ควรกลับไปอยู่ใต้ความกลัวต่อธรรมบัญญัติอีก เราดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจในความรอดโดยพระคุณแล้ว เราถูกรับไว้เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว การเชื่อฟังของคริสเตียนไม่ได้เป็นการกลับมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติในฐานะเครื่องมือสำหรับความรอด แต่อยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า
มีเพียงคริสเตียนจำนวนเล็กน้อยในปัจจุบันที่ยอมรับพระราชกิจในการนับว่าเป็นคนชอบธรรมของพระคริสต์ในชีวิตของตน คนจำนวนมากเข้าใจเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และเข้าใจเล็กน้อยเกี่ยวกับขนาดและความผิดของบาปของตน พวกเขาจึงเห็นความจำเป็นของการนับเป็นคนชอบธรรมแต่เพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าลึกลงไปแล้ว ชีวิตของพวกเขาไม่มั่นคงและขับเคลื่อนด้วยความผิดก็ตาม คนอื่น ๆ มีพันธสัญญาตามทฤษฎีกับหลักคำสอนนี้ แต่ดำรงอยู่ไปแบบวันต่อวัน พวกเขาพึ่งพาการชำระให้บริสุทธิ์แทนการนับเป็นคนชอบธรรมตามแบบออกัสติน ซึ่งเอาความมั่นใจในการเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าเชื่อมโยงกับความจริงใจ ประสบการณ์กลับใจมาเชื่อในอดีต การทำศาสนกิจเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือความถี่ที่เกี่ยวพันกับจิตสำนึกของพวกเขา หรือการไม่เชื่อฟังอย่างตั้งใจของพวกเขาที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก มีเพียงไม่กี่คนที่รู้มากพอจะเริ่มต้นแต่ละวันด้วยการยืนหยัดโดยสมบูรณ์บนพื้นฐานของลูเธอร์ นั่นคือ เขาถูกยอมรับแล้ว เมื่อมองไปที่ความเชื่อและกล่าวอ้างสิทธิถึงความชอบธรรมของพระคริสต์ว่าเป็นพื้นฐานเดียวสำหรับการเป็นที่ยอมรับ แล้วพักอยู่ในการไว้วางใจซึ่งจะเพิ่มพูนการชำระให้บริสุทธิ์เมื่อความเชื่อตื่นตัวในความรักและความขอบคุณ[1]
(โรม 8:16) พระคัมภีร์ข้อนี้อธิบายถึงสิ่งที่ผู้เชื่อกลุ่มอีแวนเจลิสติคเรียกว่า “พยานแห่งพระวิญญาณ” พระวิญญาณของพระเจ้ายืนยันแก่เราว่า เราอยู่ในความสัมพันธ์อันรักใคร่เชื่อฟังกับพระเจ้า และเป็นพยานแก่เราว่าเราได้รับความรอด วิญญาณของเราสำนึกถึงความเป็นจริงนั้น การเห็นพ้องกันระหว่างพระวิญญาณของพระเจ้ากับวิญญาณของเรา เป็นพื้นฐานของความมั่นใจ เพื่อเราจะไม่ดำเนินชีวิตด้วยความไม่แน่ใจหรือสงสัยว่าเราเป็นผู้เชื่อแท้หรือเปล่า
ศาสนาและลัทธิต่าง ๆ ที่ไม่ได้สอนถึงความมั่นใจในความรอดก็เก็บกับคนในศาสนาหรือลัทธิให้อยู่ในความกลัว ผู้คนกลัวว่าพวกเขาไม่ได้ทำดีมากพอที่จะรอดได้ ข่าวประเสริฐนำการปลดปล่อยจากความกลัว เพราะเรารู้ว่าเราได้รับการยกโทษแล้ว การเชื่อฟังของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำตามพระวิญญาณ เพื่อทำให้พระเจ้าผู้ยอมรับเราแล้วพอพระทัย มากกว่าจะรักษาข้อกำหนดต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นวิธีการเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
เรารู้ว่าเราได้รับความรอดเพราะเรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นการเชื่อฟังพระเจ้าและมีพระวิญญาณเป็นพยานที่แท้จริง (ดูที่ 1 ยอห์น 2:3, 29; 1 ยอห์น 3:14, 18-21, 24 เป็นพระคัมภีร์พื้นฐานสำหรับความมั่นใจในความรอด)
► เขาจะให้คำแนะนำแก่คนที่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับความรอดว่าอะไร?
(โรม 8:17-18) เราจะได้รับพระสิริและแผ่นดินของพระเจ้าเป็นมรดกร่วมกับพระคริสต์ พระสิริของพระองค์จะปรากฏในตัวเราโดยสิ่งยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ที่พระองค์กระทำภายในเรา เพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเราให้เป็นไปตามแผนการของพระองค์ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก ซึ่งหมายถึงชีวิตของพระเจ้า เราจะปกครองร่วมกับพระคริสต์ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ได้รับมรดกทุกอย่างของเราในตอนนี้ พระสิริที่กล่าวไว้ในที่นี่เป็นเรื่องของอนาคต การทนทุกข์เป็นเรื่องปัจจุบัน ส่วนการปกครองจะเกินขึ้นภายหลัง แต่สง่าราศีที่จะได้รับในอนาคตก็ยิ่งใหญ่มาก จนความทุกข์ลำบากในปัจจุบันไม่อาจเทียบได้เลย
โรม 8:19-25 อธิบายถึงการอดทนโดยความเชื่อขณะที่รอคอยให้พระเจ้าฟื้นฟูการทรงสร้างของพระองค์โดยสมบูรณ์
(โรม 8:19) ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นกำลังรอคอยเวลาที่พระเจ้าจะประทานพระสิริให้แก่บุตรของพระองค์โดยสมบูรณ์ อัครทูตยอห์น
กล่าวว่า เรายังไม่เห็นรูปลักษณ์ของเราในสวรรค์ (1 ยอห์น 3:2)
(โรม 8:20-21) ทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นกำลังทนทุกข์จากผลลัพธ์แห่งบาป พระเจ้าอนุญาตให้คำแช่งสาปยังคงอยู่โดยหวังว่า คนบาปจะกลับใจใหม่เมื่อเห็นผลลัพธ์แห่งบาป สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นต่าง ๆ จะถูกฟื้นฟูในที่สุด และทำให้แผนการสุดท้ายของพระเจ้าสำเร็จ นี่ไม่ได้รวมถึงคนที่สุดท้ายแล้วจะปฏิเสธน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยปฏิเสธที่จะกลับใจใหม่
(โรม 8:22) คำแช่งสาปของบาปส่งผลกระทบต่อการทรงสร้างทั้งหมด (ปฐมกาล 3:17-19) การงานทำได้ยากขึ้น แผ่นดินไม่ตอบสนองต่อมนุษย์อย่างที่เคยตอบสนองก่อนล้มลงในบาป ความเจ็บป่วย การชราภาพ และความตายมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งหมด
(โรม 8:23) แม้ว่าผู้เชื่อยังคงทนทุกข์ฝ่ายกายจากผลลัพธ์แห่งบาป เพราะว่าร่างกายของพวกเขายังไม่ได้รับการฟื้นฟูสู่สภาวะก่อนล้มลงในบาป แต่เราก็มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในฐานะที่เป็นส่วนแรก เป็นตัวอย่าง และเป็นหลักฐานถึงการฟื้นฟูสุดท้ายของพระเจ้า การฟื้นฟูอันสมบูรณ์สุดท้ายของพระเจ้าคือความรอดสุดท้าย เราอาจกล่าวได้ว่า เราได้รับความรอดแล้วและยังคงรอคอยความรอดสุดท้ายอยู่
► บางสิ่งที่เขามองว่าเป็นเครื่องหมายว่าการทรงสร้างตกอยู่ใต้คำแช่งสาปของบาปคืออะไรบ้าง?
แผนการของซาตานที่มีต่อคนบาปคือให้สิ่งที่ดีที่สุดที่มันให้ได้ก่อน จากนั้น ก็ให้สิ่งเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยล่อพวกเขาด้วยคำสัญญาที่มันทำไม่ได้แล้วจบลงที่นรก พระเจ้าประทานตัวอย่างของสวรรค์ให้แก่เราตอนนี้ และสงวนสิ่งดีที่สุดสำหรับเราไว้ภายหลัง
(โรม 8:24-25) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ให้ประเด็นว่า เรากำลังรอคอยสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่เรายังไม่ได้เห็นหรือยังไม่ได้รับมาก่อน
การเป็นขึ้นจากความตายในฝ่ายร่างกายเป็นหลักคำสอนที่สำคัญมากของคริสเตียน และการปฏิเสธถึงเรื่องนี้นำไปสู่การดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยบาป บางคนในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ปฏิเสธการเป็นขึ้นจากความตาย สิ่งนี้ส่งผลลัพธ์ที่สุดโต่งในสองลักษณะ
1. การหยุดยั้งความปรารถนาทางกายอย่างสุดโต่งราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นชั่วร้าย
2. การปล่อยตัวไปกับความปรารถนาทางกายด้วยความประมาทราวกับสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นอันตราย
บางคนคิดว่า ถ้าหากร่างกายจะถูกละทิ้งราวกับเป็นสิ่งไร้ค่าและชั่วร้ายแล้ว ดังนั้น ความปรารถนาทางกายต่าง ๆ จึงเป็นบาป จากการให้เหตุผลเช่นนี้ พวกเขาแนะนำการถือพรหมจรรย์ ในขณะที่บางคนตัดสินใจว่า เนื่องจากร่างกายจะถูกละทิ้ง พวกเขาจึงปล่อยตัวให้กับความปรารถนาอันชั่วร้ายต่าง ๆ ตอนนี้ได้ ความสุดโต่งทั้งสองนั้นไม่ได้เป็นของคริสเตียน การนอกรีตเหล่านี้และอื่น ๆ เกิดขึ้นเมื่อคนปฏิเสธการที่ร่างกายจะเป็นขึ้นจากความตาย
โรม 8:26-27 อธิบายถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในคำอธิษฐานของผู้เชื่อ
(โรม 8:26-27) สภาวะล้มลงในบาปของเราส่งผลกระทบต่อการรับรู้ฝ่ายจิตใจและฝ่ายวิญญาณของเรา เราจึงไม่อาจเข้าใจได้โดยสมบูรณ์ถึงความเป็นจริงต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณ ไม่อาจเข้าใจได้โดยสมบูรณ์ถึงสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ให้เราทำในโลกนี้ เวลาที่เราอธิษฐาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ชดเชยความอ่อนแอของเรา โดยอธิษฐานกับเราด้วยคำพูดต่าง ๆ ที่เราไม่อาจกล่าวได้ พระองค์รู้ว่าต้องอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างไร
พระคัมภีร์ข้อเหล่านี้ไม่ได้กล่าวเป็นนัยถึงการอธิษฐานด้วยภาษาที่ไม่เป็นที่รู้จัก คำกล่าวนี้คือการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวคำอธิษฐานแทนเราเพราะว่าเราไม่สามารถกล่าวคำอธิษฐานนั้น พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวว่าเราอธิษฐานด้วยลักษณะที่ไม่อาจเข้าใจได้
บทนำสู่ โรม 8:28-39
พระคัมภีร์ตอนนี้อธิบายว่า ผู้เชื่ออยู่ในแผนการของพระเจ้า และพระองค์มุ่งหมายจะประทานพระคุณแก่พวกเขา เพื่อให้สำเร็จในการเดินทางชีวิตคริสเตียนและได้รับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่พระฉายาของพระคริสต์ ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ในโลกที่แยกเราออกจากพระเจ้าได้ ก็เพราะพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ยิ่งใหญ่กว่า
พระคัมภีร์ตอนนี้อาจใช้ชื่อว่า “ความมั่นคงฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อ”
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่านโรม 8:28-39 ให้กลุ่มฟัง
หมายเหตุ ศึกษาไปทีละข้อ
(โรม 8:28) วลี “เหตุการณ์ทุกอย่าง” รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เราทนทุกข์ นี่ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าบัญชาทุกสิ่งให้เกิดขึ้นรวมถึงความบาป แต่หมายความว่า พระเจ้านำผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่ดีออกมาจากทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่ผู้เชื่อ ในโรม 8:37 หลังจากที่ระบุรายชื่อการทนทุกข์ประเภทต่าง ๆ เปาโลกล่าวว่า ในบรรดาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมด เราเป็นยิ่งกว่าผู้มีชัย พระเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์ของพระองค์ และพัฒนาเราผ่านสิ่งเหล่านี้
พระเจ้าไม่ได้บัญชาทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์อนุญาตให้เสรีภาพในการเลือกทำงาน อนุญาตให้ความเสี่ยงต่าง ๆ เกิดขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับโอกาส พระองค์ยินยอมแม้กระทั่งบาป กระนั้นเพื่อผู้เชื่อ พระเจ้านำผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่ดีออกมาจากเหตุการณ์ทั้งหมด - แม้กระทั่งจากบาปของคนอื่นที่กระทำโดยเจตนาอันชั่วร้าย
(โรม 8:29) เรารู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนในโลกนี้จะได้รับความรอด ดังนั้น คนที่พระองค์รู้จักล่วงหน้า คือคนที่พระองค์รู้ถึงบางสิ่งที่เจาะจง เรารู้จากบริบทของพระธรรมโรมว่า พระเจ้าเลือกสรรผู้ที่เชื่อ พระองค์รู้ว่าใครจะตอบสนองต่อข้อเสนอของพระองค์อันเกี่ยวกับแห่งความรอดด้วยความเชื่อ (ดูเพิ่มเติมที่ โรม 11:2 และข้อคิดเห็น) เป็นสิ่งสำคัญที่การรู้ล่วงหน้าของพระองค์มาก่อนการกำหนดล่วงหน้าในลำดับนี้ พระเจ้าวางแผนที่จะช่วยผู้เชื่อให้รอด (ดูที่ สดุดี 1:6, 1 โครินธ์ 8:3, กาลาเทีย 4:9, และ 2 ทิโมธี 2:19 สำหรับตัวอย่างถึง “การรู้” ของพระเจ้า)
พระองค์วางแผนให้พวกเขาเป็นเหมือนกับพระคริสต์ การเป็นเหมือนกับพระองค์หมายความว่าเราจะถูกสร้างให้มีอุปนิสัยเหมือนกับพระคริสต์
(โรม 8:30) พระราชกิจของพระเจ้านำเราไปตลอดทางจนพบกับรอดชั่วนิรันดร์ สิ่งที่จำเป็นจากเรามีเพียงความเต็มใจเท่านั้น
(โรม 8:31-32) ไม่มีสถานการณ์แวดล้อมใดที่ยากเกินไปสำหรับพระเจ้า พระองค์ได้ให้เครื่องบูชาสูงสุดแล้ว ดังนั้น พระองค์จึงจะให้ทุกสิ่งที่จำเป็นแก่เราเพื่อชัยชนะของเรา
(โรม 8:33) ไม่มีใครอาจนับเราว่ามีความผิดเนื่องจากบาปต่าง ๆ ได้ เพราะว่าการนับว่าเป็นคนชอบธรรมที่พระเจ้าจัดเตรียมได้ลบล้างบาปเหล่านั้นไปหมดแล้ว
(โรม 8:35-39) นี่เป็นข้อความที่ให้ความหวังอันยิ่งใหญ่และปลอบประโลมคนที่ติดตามพระเยซู ไม่มีสิ่งใดอาจแยกเราออกจากพระเจ้าได้ เปาโลกำลังกล่าวว่า เราได้รับการปกป้องฝ่ายวิญญาณจากทุกสิ่งที่เราประสบในโลกนี้ ความมั่นคงของผู้เชื่อคือพระสัญญาที่ว่า พระเจ้าไม่เคยล้มเหลวในการจัดเตรียมกำลังให้แก่เขาเพื่อจะบากบั่นในความเชื่อได้ และไม่มีอำนาจอื่นใดนำเขาไปจากพระองค์ได้
► คุณจะอธิบายวิธีที่พระเจ้าช่วยให้ผู้เชื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์แวดล้อมทั้งหมดด้วยความเชื่อว่าอย่างไร?
[1] ริชาร์ด เลิฟเลซ,
The Dynamics of Spiritual Life , (ดาวเนอร์สโกรฟ, อิลลินอยส์: อินเตอร์วาร์ซิตี้เพรส1979) 101
Previous
Next