จุดประสงค์บทเรียน
(1) เข้าใจหลักการพื้นฐานของการตีความพระคัมภีร์
(2) นำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการศึกษาพระคัมภีร์
(3) ตระหนักว่าการไม่ทำตามหลักการเหล่านี้อาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดทางหลักคำสอนได้
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
1 min read
by Randall McElwain
(1) เข้าใจหลักการพื้นฐานของการตีความพระคัมภีร์
(2) นำหลักการเหล่านี้ไปใช้ในการศึกษาพระคัมภีร์
(3) ตระหนักว่าการไม่ทำตามหลักการเหล่านี้อาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดทางหลักคำสอนได้
หลักการในบทเรียนนี้เป็นพื้นฐานในการศึกษาพระคัมภีร์ หลักการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้สอนพระคัมภีร์ที่ชาญฉลาดได้พัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษา หลักการเหล่านี้ควรเป็นพื้นฐานของวิธีการศึกษาพระคัมภีร์ของคุณ ขอให้ใช้เวลาทำความเข้าใจหลักการเหล่านี้และนำไปใช้ในการศึกษาของคุณ
ผู้เขียนเจตนาสื่อบางสิ่งให้ผู้อ่านของเขารู้ ความหมายที่เป็นเจตนานั้นคือความหมายที่แท้จริงของงานเขียนนั้น การตีความคืองานที่ใช้ความพยายามเพื่อเข้าใจเนื้อหาที่เป็นเจตนาของผู้เขียน เราไม่ควรใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องมือเพื่อสื่อสารเนื้อหาที่แตกต่างจากความหมายที่ผู้เขียนตั้งใจสื่อ
ข้อความในพระคัมภีร์สามารถมีความหมายมากกว่าสิ่งที่ผู้เขียนเจตนาไว้ เมื่ออับราฮัมพูดกับอิสอัคว่า “พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เอง…” (ปฐมกาล 22:8) เขาอาจไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะทำให้ถ้อยคำของพระองค์สำเร็จเป็นจริงด้วยวิธีการที่ยิ่งใหญ่กว่าในการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อโมเสสเขียนถ้อยคำเหล่านี้ของอับราฮัม โมเสสเองก็อาจไม่เข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้อย่างครบถ้วน อย่างไรก็ตาม เพื่อจะประยุกต์ใช้คำกล่าวนี้กับการเสด็จมาของพระเยซูก็ไม่ได้มีความหมายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่โมเสสเจตนาไว้ เพียงแค่มีความหมายที่ใหญ่กว่า ครบถ้วนกว่าในหลักการที่ว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งจำเป็นสำหรับความรอดของเรา
ผู้เขียนพระคัมภีร์แต่ละคนตั้งใจให้ผู้อ่านกลุ่มแรกนำข้อความของเขาไปใช้ในทางปฏิบัติ การประยุกต์ใช้ข้อความนั้นสำหรับเราอาจแตกต่างจากผู้อ่านกลุ่มแรก แต่ก็เป็นทำตามหลักการเดียวกัน เนื่องจากเราประยุกต์ใช้หลักการพระคัมภีร์ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป การปฏิบัติของเราก็อาจแตกต่างไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น คนอิสราเอลได้รับคำสั่งให้ก่อขอบขึ้นไว้ที่ดาดฟ้าหลังคาบ้าน (เฉลยธรรมบัญญัติ 22:8) หลังคาบ้านสมัยนั้นเป็นพื้นราบเปิดโล่ง และใช้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อยู่อาศัย หากคุณไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหลังคาเรียบซึ่งผู้คนไปอยู่แถวบริเวณนั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องก่อขอบกั้นโดยรอบเพื่อให้เป็นสถานที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เราควรยังคงใช้หลักการในการทำให้ทรัพย์สินของเราปลอดภัยสำหรับผู้คน
ผู้ตีความไม่ควรพัฒนาการตีความเชิงจินตนการกับรายละเอียดต่างๆ ของเนื้อหาพระคัมภีร์ นี่เป็นตัวอย่างของการตีความเชิงจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องเล่าของพระเยซูเรื่องชาวสะมาเรียผู้ช่วยชายที่บาดเจ็บ (ลูกา 10:30-35)
ชาวสะมาเรียเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ชายที่บาดเจ็บเป็นคนบาปที่กลับใจมาเชื่อ โรงแรมคือคริสตจักร และเหรียญสองเหรียญคือการบัพติศมาและมหาสนิท
การตีความนี้ละเลยประเด็นที่เป็นเจตนาของพระเยซูเกี่ยวกับการรักเพื่อนบ้านของเรา (ลูกา 10:27-29, 36-37) เราต้องแสดงความรักต่อคนที่เราพบเจอซึ่งมีความจำเป็นในชีวิต
มีปัญหาสามประการเกี่ยวกับการตีความเชิงจินตนาการ
1. มาจากข้อคิดเห็นของผู้ตีความ
2. ไม่ได้มีหลักการตีความที่ดีเป็นแนวทาง
3. ไม่สามารถประเมินได้ด้วยวิธีการปกติที่สมเหตุสมผล
คาเลบดูแผนที่เพื่อหาทางไปยังจุดหมายปลายทาง แต่แล้วคาเลบก็พูดว่า “แผนที่นี้ผิด” ผู้โดยสารของคาเลบถามว่า “คุณรู้ได้อย่างไรว่าแผนที่ผิด” คาเลบตอบอย่างมั่นใจว่า “ฉันรู้เส้นทางที่จะไป แผนที่นี้ผิด” ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา คาเลบก็หลงทางจริงๆ เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้ เขาเริ่มพยายามทำความเข้าใจและปฏิบัติตามแผนที่ เขาผิดพลาดตรงจุดไหนหรือ? เขาเริ่มต้นด้วยข้อสรุป เขาแน่ใจว่าตนมีคำตอบที่ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธที่จะฟังแผนที่ซึ่งให้คำตอบแตกต่างออกไป
มีบางคนอ่านพระคัมภีร์ในทำนองนี้ เมื่อนักเทศน์อ่านข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่เขาไม่ชอบ เขาพูดว่า “ผมไม่รู้นะว่าข้อนี้หมายถึงอะไร แต่มันไม่ได้มีความหมายอย่างที่เขียนไว้แน่” เขาเริ่มต้นด้วยข้อสรุปของตัวเองก่อน (“ผมไม่เห็นด้วยกับคำสอนนี้”) จากนั้นจึงอ่านพระคัมภีร์ เขาไม่สามารถปรับพระคัมภีร์ให้เข้ากับข้อสรุปของตัวเองได้ก็เลยตัดสินใจที่จะเพิกเฉยต่อพระคัมภีร์ข้อนั้น (“แต่มันไม่ได้มีความหมายอย่างที่เขียนไว้แน่”)
ในการตีความพระคัมภีร์ เราต้องเริ่มต้นด้วยพระคัมภีร์แล้วจึงหาข้อสรุป เราทุกคนมีสมมติฐานบางอย่าง เราเริ่มจากมุมมองเจาะจง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาคือการที่สมมติฐานของเราทำให้เราเพิกเฉยต่อคำสอนที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ เราต้องแน่ใจว่าเราเริ่มต้นด้วยข้อความพระคัมภีร์ ไม่ใช่ข้อสรุปของเรา เราจะต้องไม่ยอมให้สมมติฐานของเราทำให้เราเพิกเฉยต่อข้อความพระคัมภีร์
ตัวอย่าง
“เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มัทธิว 5:48)
บางคนพูดว่า “ไม่มีใครดีพร้อม!” ดังนั้นพวกเขาจึงเพิกเฉยต่อคำสั่งของพระเยซู พวกเขาเริ่มต้นด้วยข้อสรุปของตัวเอง (“ไม่มีใครดีพร้อม!”) และไม่แม้แต่จะพยายามเข้าใจสิ่งที่พระเยซูหมายถึง
เมื่อศึกษา มัทธิว 5:48 เราต้องถามว่า “พระเยซูหมายถึงอะไรกับการเป็นคน ‘ดีพร้อม’? เราจะเป็นเหมือนพระบิดาในสวรรค์ของเราในทางใด?” ข้อพระคัมภีร์ก่อนหน้า มัทธิว 5:48 ให้คำตอบคือ เราต้องรักศัตรูของเราและทำความดีต่อพวกเขาเหมือนอย่างที่พระบิดาในสวรรค์... “…ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน…” (มัทธิว 5:45)
เมื่อเราอ่านหนังสือที่มีมนุษย์เป็นผู้ประพันธ์ ในบางจุดอาจมีความขัดแย้งกันเอง ผู้ประพันธ์ที่เป็นมนุษย์สองคนก็ขัดแย้งกันเองในบางประเด็น อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ไม่มีความขัดแย้งกัน
พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง (ยากอบ 1:17) เพราะเหตุนี้ พระวจนะของพระองค์จึงสอดคล้องกันแม้ว่าได้รับการเขียนโดยมนุษย์มากมายเป็นเวลาหลายร้อยปี พระวจนะของพระเจ้าไม่ขัดแย้งกันเอง
หลักการนี้คือผลลัพธ์ที่จำเป็นของหลักคำสอนเรื่องการดลใจที่ว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า…” (2 ทิโมธี 3:16-17) หากแหล่งที่มาสูงสุดของพระคัมภีร์คือพระเจ้า พระคัมภีร์ก็ไม่สามารถขัดแย้งกันเองได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตีความพระคัมภีร์ เมื่อพระคัมภีร์สองตอนดูเหมือนขัดแย้งกัน เราควรถามตัวเองว่าเราเข้าใจผิดอันใดอันหนึ่งหรือเปล่า เมื่อเราเข้าพระคัมภีร์แต่ละตอนอย่างเต็มที่แล้ว เราจะเห็นว่าทั้งสองตอนล้วนเป็นความจริง
ตัวอย่าง
“เพราะเราเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็โดยอาศัยความเชื่อนอกเหนือการประพฤติตามธรรมบัญญัติ” (โรม 3:28)
“…ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น” (กาลาเทีย 2:16)
“พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว” (ยากอบ 2:24)
มีผู้อ่านบางคนเชื่อว่าเปาโลและยากอบคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องบทบาทของความเชื่อกับการประพฤติ เปาโลยืนกรานว่ามนุษย์ได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมโดยปราศจากการงานของกฎบัญญัติ ยากอบเขียนว่ามนุษย์ได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ไม่ใช่เพียงความเชื่อเท่านั้น
หากไม่พิจารณาบริบทของข้อพระคัมภีร์เหล่านี้แล้ว คนอาจจะคิดว่ายากอบขัดแย้งเปาโล อย่างไรก็ตาม บริบทของพระคัมภีร์แต่ละตอนแสดงให้เห็นสิ่งที่เปาโลและยากอบกำลังพูดถึง เปาโลกำลังพูดเกี่ยวกับบุคคลที่ได้รับความรอดและได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรม บุคคลนั้นกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยความเชื่อ ส่วนยากอบกำลังพูดเกี่ยวกับวิธีการที่บุคคลหนึ่งแสดงให้เห็นว่าเขารอดแล้ว บุคคลจะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติ ทั้งเปาโลและยากอบเห็นพ้องร่วมกันว่าบุคคลได้รับการทำให้ชอบธรรมได้โดยความเชื่อ จากนั้นจึงแสดงให้เห็นความชอบธรรมนั้นโดยการประพฤติ
หลักการนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับหลักการก่อนหน้านี้ เนื่องจากพระคัมภีร์ไม่ขัดแย้งกันเอง เราจึงสามารถใช้พระคัมภีร์ตอนที่มีความหมายชัดเจนเพื่อช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาของตอนที่มีความหมายไม่ชัดเจน เราใช้ข้อพระคัมภีร์ที่ชัดเจนเพื่ออธิบายข้อพระคัมภีร์ที่ยากกว่า เราไม่บิดเบือนข้อพระคัมภีร์ที่เรียบง่ายเพื่อให้เหมาะกับการตีความข้อพระคัมภีร์ที่ยากกว่าของเรา
ตำราเรียนวิชาการตีความกล่าวไว้ดังนี้ว่า “บ่อยครั้งสิ่งที่คลุมเครือในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งก็จะปรากฏชัดในอีกตอนหนึ่ง”[1] การศึกษาพระคัมภีร์ทั้งหมดเป็นการอนุญาตให้พระคัมภีร์ตอนที่เรียบง่ายขยายความเข้าใจของเราสำหรับพระคัมภีร์ตอนที่ยากกว่า
ตัวอย่าง
“มิฉะนั้น พวกที่ให้รับบัพติศมาเพื่อคนตายนั้นจะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมาเลย? และทำไมจึงมีการให้รับบัพติศมาเพื่อคนตาย?” (1 โครินธ์ 15:29)
เนื่องจากพระคัมภีร์ข้อนี้ บางคนจึงคิดว่าคนที่ยังมีชีวิตอยู่ควรรับบัพติศมาเพื่อเห็นแก่คนที่เสียชีวิตไปโดยไม่ได้รับบัพติศมา อย่างไรก็ตาม ไม่มีพระคัมภีร์ตอนไหนที่บอกให้เราทำเช่นนั้นเลย เปาโลกล่าวถึงธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้อ่านของเขาปฏิบัติ แต่เราไม่รู้ว่าธรรมเนียมปฏิบัตินั้นคืออะไร
พระคัมภีร์ตีความพระคัมภีร์ได้ดีที่สุด หลักการนี้เป็นแนวทางให้กับเราในการตีความ 1 โครินธ์ 15:29 เมื่อเราอ่าน มัทธิว 28:19, กิจการ 2:41, กิจการ 8:12 และ กิจการ 19:5 เราเห็นว่าบัพติศมามีไว้เพื่อผู้เชื่อที่มีชีวิตอยู่ เนื่องจาก 1 โครินธ์ 15:29 ไม่ได้สั่งอย่างชัดเจนว่าบัพติศมามีไว้สำหรับคนตายและเนื่องจากพระคัมภีร์ข้ออื่นๆ ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแนวทางปฏิบัติทั่วไปของคริสตจักรยุคแรก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเชื่อว่า 1 โครินธ์ 15 สั่งให้บัพติศมาคนตาย
ความหมายของพระวจนะของพระเจ้าสามารถพบได้ในพระคัมภีร์เอง โดยการใช้เครื่องมือตีความตามปกติ พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ถูกเขียนไว้เป็นรหัสลับ
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งคริสตจักร ความจริงของข่าวประเสริฐทั้งหมดได้ถูกเปิดเผยต่อทุกคน ไม่ใช่แค่กับสมาชิกพิเศษของคริสตจักรเท่านั้น พระเยซูตรัสว่าพระองค์ไม่ได้มีหลักคำสอนลับๆ สำหรับผู้ติดตามพระองค์ (ยอห์น 18:20) อัครทูตเปาโลบอกให้ทิโมธีสอนผู้อื่นถึงความจริงที่เปาโลได้สอนต่อหน้าสาธารณชน (2 ทิโมธี 2:2) เปาโลอธิบายว่าหากผู้คนมองไม่เห็นความจริง นั่นไม่ใช่เพราะว่ามันถูกซ่อนไว้โดยตั้งใจ แต่เป็นเพราะซาตานทำให้พวกเขามองไม่เห็น (2 โครินธ์ 4:1-6) พันธกิจของคริสตจักรคือการแบ่งปันความจริงของพระเจ้าอย่างเปิดเผยเสมอมา
[1]เป็นเรื่องจริงที่ต้องศึกษาพระคัมภีร์ส่วนใหญ่อย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อจะรู้ความหมายของพระคัมภีร์ แต่ความจริงของพระคัมภีร์ไม่ได้ปิดบังไว้จากเรา ความจริงสำคัญของพระคัมภีร์ไม่ได้ถูกฝังอยู่ในข้อพระคัมภีร์ที่คลุมเครือ ผู้แต่งเพลงสดุดีกล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์” (สดุดี 119:105) จุดประสงค์ของพระวจนะของพระเจ้าคือเพื่อนำทางเรา ไม่ใช่เพื่อปิดบังความจริง
ไม่มีกุญแจพิเศษที่ใช้ไขข้อความในพระวจนะของพระเจ้า อย่าเชื่อหนังสือที่อ้างว่าสามารถไขรหัสที่ซ่อนอยู่ในพระคัมภีร์ได้ พระเจ้าตรัสเพื่อให้เราเข้าใจพระวจนะของพระองค์
ตัวอย่าง
ทุกๆ สองสามปี จะมีคนอ้างว่า “พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่ข้าพเจ้าว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาในปีหน้า” หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งได้รับความนิยมในปี 1987 ได้ทำนายว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาในปี 1988 ผู้เขียนอ้างว่าเขาค้นพบข้อเท็จจริงนี้จากการศึกษาเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองของชาวยิวในสมัยโบราณ ในปีถัดมา ผู้เขียนคนเดียวกันได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งทำนายถึงการเสด็จกลับมาของพระเยซูในปี 1989 เราไม่ควรเชื่อผู้ที่ยึดหลักคำสอนสำคัญจากวิธีการตีความพระคัมภีร์ที่ซ่อนเร้นหรือเป็นความลับ พระเยซูตรัสไว้ว่า “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว” (มัทธิว 24:36)
“การตีความแบบฉีกแนว
มักจะผิดพลาด”
- Gordon Fee,
How to Read the Bible
หลักการนี้สอนว่า หากพระเจ้าให้คำสั่ง พระองค์ก็จะทำให้การเชื่อฟังเป็นไปได้
ลองนึกถึงพ่อคนหนึ่งที่พูดว่า ““ลูกชาย ถ้าจะให้พ่อพอใจ ลูกต้องวิ่งให้ครบหนึ่งไมล์ภายในสองนาที” สักช่วงหนึ่ง ลูกชายอาจพยายามเต็มที่ แต่ก็ล้มเหลวเสมอ ทำในสิ่งที่พ่อคาดหวังไม่ได้ ในที่สุด ลูกชายก็จะท้อแท้และเลิกพยายาม แบบนี้ใช่พ่อที่ดีหรือไม่?
บางคนจินตนาการว่าพระเจ้าเป็นพระบิดาที่ไร้เหตุผล เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “ให้บริสุทธิ์,”[1] พวกเขาพูดว่า “พระเจ้ารู้ดีว่าเราไม่สามารถเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ได้”
จอหน์ คาลวิน กล่าวว่าเราไม่สามารถ “…วัดกำลังของมนุษย์ด้วย[พระบัญญัติ] ของพระเจ้า”[2] คาลวินเชื่อว่าพระเจ้าให้คำสั่งที่เราไม่สามารถเชื่อฟังได้ด้วยกำลังของมนุษย์ แต่ว่าพระเจ้าจัดเตรียมฤทธิ์อำนาจเพื่อการเชื่อฟังให้กับบรรดาคนที่ได้รับความรอด จอห์น เวสเลย์ สอนว่าทุกคำสั่งในพระวจนะของพระเจ้าเป็นคำสัญญาที่สำเร็จในผู้เชื่อได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
มนุษย์ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าได้ด้วยกำลังตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เราสามารถทำตามคำสั่งของพระเจ้าได้ด้วยกำลังของพระองค์ พระบิดาในสวรรค์ผู้รักเรา จะให้ฤทธิ์อำนาจแก่บรรดาลูกของพระองค์เพื่อจะเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ พระบิดาผู้รักเราจะทำให้บรรดาลูกของพระองค์ผิดหวังเพราะคำสั่งที่เป็นไปไม่ได้ ทุกคำสั่งในพระคัมภีร์ล้วนมาพร้อมกับพระคุณเพื่อจะเชื่อฟังคำสั่งนั้นได้
พระเยซูสั่งว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน” (มัทธิว 22:37) นี่เป็นทั้งคำสั่งและคำสัญญา คำสั่งของพระเจ้าให้รักพระเจ้าด้วยใจเด็ดเดี่ยวเป็นคำสัญญาที่มีความหมายแฝงว่าพระเจ้าจะให้เรามีใจเด็ดเดี่ยวหากเราไว้วางใจพระองค์
ตัวอย่าง
“เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มัทธิว 5:48)
จากบริบท เราเข้าใจว่าพระเยซูกำลังพูดถึงความรัก ไม่ใช่ความดีพร้อมในทุกเรื่อง เราเองก็เข้าใจด้วยว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ด้วยความพยายามของเราเอง พระเจ้าผู้ที่สั่งให้เราดีพร้อมเป็นพระเจ้าผู้ที่ทำให้คำสั่งนั้นสำเร็จ ผู้เขียนสดุดีเป็นพยานว่า “[คือ] พระเจ้าผู้ทรงทำให้ข้าพเจ้าแข็งแรง และทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าปลอดภัย” (สดุดี 18:32)
เราต้องเข้าใจคำสั่งของพระเยซูอย่างถูกต้อง เราต้องอ่านคำสั่งโดยคำนึงถึงบริบทคำสอนของพระเยซู และคำนึงถึงคำสอนในพระคัมภีร์เกี่ยวกับใจดีพร้อม (ไม่แบ่งใจ) และคนที่บริสุทธิ์ (แยกไว้) เมื่อเราเข้าใจเรื่องนี้ คำสั่งของพระเยซูก็จะกลายเป็นคำสัญญาแห่งพระคุณ ไม่ใช่มาตรฐานที่เป็นไปไม่ได้สำหรับความพยายามของมนุษย์
ในฐานะคริสเตียนอีแวนเจลิคอล เรายอมรับพระคัมภีร์ว่าเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดสำหรับหลักคำสอนและแนวการปฏิบัติ พระคัมภีร์บรรจุความรู้ทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับความรอด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าเราตีความสิ่งที่เราอ่านผ่านวิธีการหลากหลาย สำหรับคริสเตียนอีแวนเจลิคอลส่วนใหญ่ เราอ่านพระคัมภีร์โดยมองผ่านเลนส์สามเลนส์ เลนส์เหล่านี้ไม่ได้มาแทนที่สิทธิอำนาจของพระคัมภีร์เลย แต่เป็นเพียงวิธีการที่เราอ่านและเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น
หากต้องการเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ เราควรใช้เลนส์ทั้งสามนี้ หากเราละเลยเลนส์ใดเลนส์หนึ่ง เราก็อาจตีความพระคัมภีร์ผิดได้ การอ่านพระคัมภีร์โดยใช้เลนส์เหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจข้อความในพระวจนะของพระเจ้าได้ดีขึ้น
ภาพต่อไปนี้อาจช่วยให้คุณมองเห็นความสัมพันธ์ของเลนส์ทั้งสามนี้ต่อพระคัมภีร์ เรามองพระคัมภีร์ผ่านเลนส์เหล่านี้[1]

เลนส์ที่ 1: ประเพณี
[2]เลนส์แรกที่เรามองพระคัมภีร์ทะลุผ่านก็คือประเพณี เลนส์ประเพณีถามว่า “คริสเตียนตลอดประวัติศาสตร์เข้าใจพระคัมภีร์นี้อย่างไร?” ประเพณีทดสอบความเข้าใจของเราเกี่ยวกับเนื้อหาโดยเปรียบเทียบกับความเข้าใจอันลึกซึ้งของคริสเตียนคนอื่นๆ ตลอดประวัติศาสตร์
ประเพณีประกอบด้วยหลักความเชื่อของคริสตจักรยุคแรก หลักคำสอนสำคัญที่เชื่อมโยงคริสเตียนในอดีตเข้าเป็นหนึ่งเดียว และคำสอนของคนรุ่นก่อนๆ ประเพณีแสดงให้เห็นถึงการตีความพระคัมภีร์ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร
ประเพณีของคริสตจักรไม่ได้สอดคล้องกันในทุกประเด็น ประเพณีที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือสิ่งที่คริสตจักรสอนไว้ทุกหนทุกแห่งและทุกยุคสมัย ควรคำนึงถึงประเพณีของนิกายต่างๆ แต่ประเพณีนี้ไม่มีอำนาจมากเท่ากับประเพณีของคริสตจักรทั่วโลก
พระเจ้าตรัสผ่านประเพณีเพื่อช่วยให้เราเข้าใจพระวจนะของพระองค์ หากการตีความของคุณทำให้พระคัมภีร์มีความหมายที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน คุณควรคิดว่าคุณเข้าใจผิด!
เลนส์ 2: เหตุผล
เลนส์ที่สองที่เราใช้คือเลนส์เหตุผล เลนส์นี้ถามว่า “ความเข้าใจอย่างมีเหตุผลของพระคัมภีร์นี้คืออะไร?” เลนส์แห่งเหตุผลต้องการให้เราใช้ความนึกคิดเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่เราอ่านในพระคัมภีร์ เลนส์นี้ตระหนักว่าพระคัมภีร์นั้นสามารถเข้าใจเหตุผลได้โดยความนึกคิด เราใช้เหตุผลเพื่อเข้าใจพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ปฏิเสธความจริงจากพระคัมภีร์เพียงเพราะเราไม่สามารถเข้าใจเหตุผลเพื่อพิสูจน์ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงได้ มีคนมากมายปฏิเสธบันทึกถึงการอัศจรรย์ต่างๆ ในพระคัมภีร์เพราะพวกเขาคิดว่าการอัศจรรย์นั้นขัดแย้งกับเหตุผล อย่างไรก็ตาม การอัศจรรย์ไม่ได้ขัดแย้งกับเหตุผลเพราะเราเข้าใจด้วยเหตุผลได้ว่าพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจเพื่อทำการอัศจรรย์
คริสเตียนบางคนต่อต้านการใช้เหตุผล พวกเขาโต้แย้งว่าเราไม่สามารถไว้ใจความนึกคิดที่ตกต่ำของเราในการเข้าใจพระวจนะพระเจ้าได้ เป็นความจริงที่มนุษย์มีความสามารถทางจิตที่จำกัด อย่างไรก็ตาม เปาโลก็ใช้เหตุผลในการโต้แย้งอยู่เสมอ เช่น ใน โรม เปาโลถามคำถามเป็นชุดที่นำผู้อ่านไปสู่ความเข้าใจด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความจริงสำคัญเรื่องความรอด แม้ว่าเหตุผลของเราจะไม่ใช่สิทธิอำนาจสูงสุด เราก็ไม่ควรเพิกเฉยต่อความหมายตามเหตุผลของพระคัมภีร์
เลนส์ที่ 3: ประสบการณ์
เลนส์สุดท้ายคือเลนส์ประสบการณ์ เลนส์นี้ถามว่า “ความเข้าใจของฉันตรงกันกับประสบการณ์ของคริสเตียนคนอื่นไหม?” ประสบการณ์ส่วนตัวไม่ควรได้รับความเชื่อถือเหนือกว่าความจริงแท้ อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์มีคุณค่าเมื่อมีความสมดุลกับประเพณีและเหตุผล
เลนส์แต่ละเลนส์มีความสำคัญ หากเราใช้เพียงแค่ประเพณี เราก็จะตกอยู่ภายใต้ข้อผิดพลาดของโรมันคาธอลิกที่มองว่าคำสอนของคริสตจักรมีสิทธิอำนาจเทียบเท่าพระคัมภีร์ หากเราใช้เพียงแค่เหตุผล เราก็จะมองว่าความนึกคิดเป็นสิทธิอำนาจสูงสุด หากเราใช้เพียงแค่ประสบการณ์ การตีความของเราก็จะถูกจำกัดและจะขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนตัว มุมมอง และข้อคิดเห็นของมนุษย์ เลนส์เหล่านี้เป็นวิธีที่เราจะเข้าใจพระคัมภีร์ แต่ไม่ควรใช้ในลักษณะที่ขัดแย้งกับสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์
ตัวอย่าง
“เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดา… เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” (เอเฟซัส 3:14, 19)
เปาโลอธิษบานว่าชาวเอเฟซัสจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับพระเจ้า เขาอธิษฐานว่าชาวเอเฟซัสจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เราค้นพบอะไรหากเราอ่านคำอธิษฐานนี้ผ่านทางเลนส์ทั้งสามเหล่านี้?
ประเพณี คริสเตียนจากทุกยุคสมัยสอนว่าพระเจ้าสัญญาที่จะให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้น กลุ่มคริสเตียนก็ไม่ได้ตกลงกันในรายละเอียดว่าพระเจ้าจะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ในตัวผู้เชื่อได้อย่างไร แต่ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร มีคริสเตียนจากหลายพื้นภูมิที่ตกลงกันว่าพระเจ้าเรียกบรรดาบุตรของพระองค์สู่การมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นกับพระองค์
ในศตวรรษที่สอง อิเรเนอุสเขียนว่าวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเราคือ “เพื่อให้เราถูกสร้างขึ้นตามฉายาและแบบอย่างของพระเจ้า”[3] อิเรเนอุสเชื่อว่าผู้เชื่อทุกคนสามารถเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้าได้ ในศตวรรษที่สี่ นักเขียนชาวตะวันออก เช่น เกรกอรีแห่งนิสซา สอนว่าคริสเตียนจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ในศตวรรษที่ 17 ฟรองซัวส์ เฟเนลอน ชาวฝรั่งเศสนิกายโรมันคาธอลิกเขียนไว้ว่า ด้วยพลังแห่งพระคุณของพระเจ้า เราสามารถ “ดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูเคยดำเนิน คิดอย่างที่พระองค์เคยคิด...”[4] โดยพระคุณของพระเจ้า เราสามารถดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ได้
เหตุผล เมื่ออ่านคำอธิษฐานของเปาโล เหตุผลของเราจะถามว่า “การตีความของฉันสำหรับคำอธิษฐานนี้สอดคล้องกันกับพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือไหม?” มันสมเหตุสมผลไหมที่จะตีความคำอธิษฐานนี้ให้เป็นเหมือนคำสัญญาเกี่ยวกับชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้นสำหรับคริสเตียน? เมื่อพิจารณาข้อพระคัมภีร์อื่นๆ เราจะเห็นว่า โรม 12:1, 1 เธสะโลนิกา 5:23 และข้อพระคัมภีร์อื่นๆ แนะนำชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้นที่เป็นไปได้สำหรับผู้เชื่อ ความเป็นจริงของการเต็มเปี่ยมด้วยความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระเจ้านั้นมีเหตุผล
ประสบการณ์ ประสบการณ์ของคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นถึงความหิวกระหายชีวิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คริสเตียนที่อุทิศตนทุกคนล้วนหิวกระหายที่จะลึกซึ้งกับพระเจ้ามากขึ้นอีก คำพยานของคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่แสดงให้เห็นว่าความหิวกระหายนี้ได้รับการตอบสนองโดยพระคุณของพระเจ้า
“ประเพณีเป็นผลจากกิจกรรมการสอนของพระวิญญาณจากยุคสมัยต่างๆ… ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันผิดพลาด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะ [ไม่สำคัญ] และเราทำให้ตัวเองขัดสน
หากเราละเลยสิ่งนี้”
- J.I. Packer,
“Upholding the Unity of Scripture Today”
มีพระคัมภีร์บางตอนที่ได้รับการตีความต่างกันในแต่ละคริสตจักร และบางครั้งก็มีการถกเถียงกันในหมู่เพื่อนฝูง เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์เหล่านั้นตอนใดตอนหนึ่ง แทนที่จะปกป้องความคิดเห็นของคุณเพียงอย่างเดียว ให้ลองพิจารณาคำถามต่อไปนี้
ฉันเริ่มต้นด้วยข้อสรุปหรือไม่? ก่อนที่ฉันจะอ่าน ฉันคิดและตัดสินใจไว้แล้วว่าพระคัมภีร์ตอนนี้ควรพูดอะไรไหม?
การตีความพระคัมภีร์ตอนนี้ของฉันขัดแย้งกับพระคัมภีร์ตอนอื่นไหม?
มีพระคัมภีร์ข้ออื่นที่ทำให้เข้าใจพระคัมภีร์ตอนนี้ชัดเจนมากขึ้นไหม?
การตีความของฉันขึ้นอยู่กับข้อความที่ซ่อนไว้หรือเปล่า หรือฉันกำลังตีความข้อความนั้นในลักษณะที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้?
พระคัมภีร์ตอนนี้มีคำสั่งไหม? ถ้าหากมี อะไรคือคำสัญญาที่เป็นความหมายแฝงของคำสั่งนั้น?
ประเพณีของคริสตจักรตลอดหลายยุคหลายสมัยกล่าวถึงพระคัมภีร์ตอนนี้ว่าอย่างไร?
การที่จะเข้าใจข้อความนี้ให้ชัดเจนและมีเหตุผลคืออะไร?
ประสบการณ์ของคริสเตียนคนอื่นๆ บอกอะไรเกี่ยวกับพระคัมภีร์ตอนนี้?
คำถามเหล่านี้ไม่ได้รับประกันว่าคุณจะพบการเห็นด้วยกันทุกเรื่องในการตีความพระคัมภีร์ตอนใดตอนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คำถามเหล่านี้อาจช่วยให้คุณพบเรื่องที่มีการเห็นด้วยกัน หากไม่เป็นเช่นนั้น คำถามเหล่านี้อาจช่วยระบุเหตุผลที่คริสเตียนผู้อุทิศตนต่อสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระเจ้าไม่เห็นด้วยในการตีความพระคัมภีร์ตอนใดตอนหนึ่ง
ไฟล์ PDF ของประเด็นสำคัญของทุกบทเรียน
(1) ความเข้าใจหลักการพื้นฐานของการตีความพระคัมภีร์จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณสรุปผลผิดพลาดในการศึกษา
(2) เริ่มต้นด้วยข้อความพระคัมภีร์ ไม่ใช่ข้อสรุปของคุณ อย่าปล่อยให้ข้อสันนิษฐานของคุณทำให้คุณละเลยข้อความพระคัมภีร์
(3) คำสอนในพระคัมภีร์ไม่ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ หากพระคัมภีร์สองตอนดูเหมือนขัดแย้งกัน ขอให้พิจารณาว่าคุณเข้าใจตอนใดตอนหนึ่งผิดหรือไม่
(4) พระคัมภีร์ตีความพระคัมภีร์ได้ดีที่สุด ให้ใช้พระคัมภีร์ตอนที่เรียบง่ายอธิบายตอนที่ยากกว่า
(5) พระคัมภีร์เขียนไว้เพื่อให้เข้าใจได้ ขอให้มองหาความหมายชัดเจนของข้อความนั้น
(6) คำสั่งในพระคัมภีร์เป็นคำสัญญาที่มีความหมายแฝง พระเจ้าผู้ให้คำสั่งจะให้ฤทธิ์อำนาจแก่เราเพื่อจะเชื่อฟัง
(7) พระคัมภีร์บรรจุความรู้ทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับความรอด
(8) เรามองพระคัมภีร์ผ่านเลนส์สามเลนส์ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า
ประเพณี: ความเข้าใจอันลึกซึ้งของคริสเตียนคนอื่นๆ ตลอดประวัติศาสตร์
เหตุผล: ความเข้าใจอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับความหมายของข้อความนั้น
ประสบการณ์: ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนคนอื่นๆ
SGC exists to equip rising Christian leaders around the world by providing free, high-quality theological resources. We gladly grant permission for you to print and distribute our courses under these simple guidelines:
All materials remain the copyrighted property of Shepherds Global Classroom. We simply ask that you honor the integrity of the content and mission.
Questions? Reach out to us anytime at info@shepherdsglobal.org
Total
$21.99By submitting your contact info, you agree to receive occasional email updates about this ministry.
Download audio files for offline listening
No audio files are available for this course yet.
Check back soon or visit our audio courses page.
Share this free course with others