จุดประสงค์บทเรียน
(1) เห็นคุณค่าของการศึกษาคำในเชิงลึก
(2) หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นในการศึกษาคำ
(3) เข้าใจและประยุกต์ใช้กระบวนการศึกษาคำ
(4) รับรู้ถึงภาษาภาพพจน์ในพระคัมภีร์
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
1 min read
by Randall McElwain
(1) เห็นคุณค่าของการศึกษาคำในเชิงลึก
(2) หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นในการศึกษาคำ
(3) เข้าใจและประยุกต์ใช้กระบวนการศึกษาคำ
(4) รับรู้ถึงภาษาภาพพจน์ในพระคัมภีร์
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยความหมาย แต่น่าเสียดายที่บางคนอ่านพระคัมภีร์โดยไม่เข้าใจเนื้อหา[1] พระคัมภีร์ประกอบด้วยพระธรรม บท ย่อหน้า ข้อ และคำ การเข้าใจความหมายของคำต่างๆ จะช่วยให้เราตีความพระคัมภีร์ตอนที่เรากำลังศึกษาได้อย่างถูกต้อง บทนี้เกี่ยวข้องกับวิธีการศึกษาคำ เราศึกษาคำเพื่อเข้าใจความหมายของคำในบริบทที่เจาะจงของพระคัมภีร์
บางครั้งผู้คนศึกษาคำในภาษาเดิมของพระคัมภีร์คือคำกรีกและฮีบรูโดยใช้แหล่งข้อมูลการศึกษาพระคัมภีร์ แหล่งข้อมูลสำหรับคำประเภทนั้นไม่ค่อยมีให้ใช้กันอย่างแพร่หลาย ดังนั้นเราจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นในบทเรียนนี้ แต่เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการศึกษาคำในพระคัมภีร์ฉบับแปลภาษาท้องถิ่นของเราแทน
เราจะใช้กระบวนการที่มีสามขั้นตอนในการศึกษาคำ
1. เลือกคำที่จะศึกษา
2. เขียนรายการความหมายที่เป็นไปได้ของแต่ละคำที่เลือก
3. สังเกตว่าแต่ละคำที่เลือกมีความหมายอย่างไรในบริบทของพระคัมภีร์ตอนนั้น
เมื่อเราเริ่มต้นศึกษาคำ มีข้อผิดพลาดบางอย่างที่เราต้องหลีกเลี่ยง ข้อผิดพลาดเหล่านี้มักจะนำไปสู่การตีความผิด
การละเลยความหมายเดิมของคำ
บางครั้งวิธีการใช้คำอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา หากการแปลพระคัมภีร์ของเราเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เราก็ต้องตระหนักว่าความหมายของคำบางคำในพระคัมภีร์อาจแตกต่างไปจากความหมายของคำเดียวกันในปัจจุบัน หากเราไม่เข้าใจว่าคำๆ หนึ่งใช้กันอย่างไรในอดีต เราก็อาจสรุปผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขียนไว้ในข้อพระคัมภีร์ที่เรากำลังศึกษาอยู่ (ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์จากฉบับที่พึ่งแปลไม่กี่ปีมานี้)
► พูดคุยเกี่ยวกับคำในภาษาของคุณที่ในปัจจุบันความหมายแตกต่างออกไปจากที่คำนั้นเคยหมายถึง
การคิดเอาเองว่าคำๆ หนึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันในทุกบริบท
ผู้เขียนพระคัมภีร์ใช้คำที่มีความหมายได้มากกว่าหนึ่งความหมาย คำเดียวกันอาจใช้ในความหมายหนึ่งในบริบทหนึ่ง และใช้ในความหมายที่แตกต่างกันในอีกบริบทหนึ่ง เราต้องพิจารณาบริบทของคำนั้นเพื่อรู้ว่าความหมายใดที่ถูกต้องในข้อพระคัมภีร์ที่เรากำลังศึกษา
ขั้นตอนที่หนึ่ง: เลือกคำจากพระคัมภีร์ตอนที่ศึกษา
เราไม่จำเป็นต้องใช้การศึกษาเชิงลึกกับทุกคำในพระคัมภีร์ บางครั้งความหมายของคำๆ หนึ่งก็เห็นได้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพระคัมภีร์พูดว่าดาวิดหยิบก้อนหินห้าก้อนขึ้นมา (1 ซามูเอล 17:40) เราไม่จำเป็นต้องศึกษาคำว่า ก้อนหิน เพื่อหาความหมาย
ในการเลือกคำเพื่อศึกษา ขอให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้
คำที่สำคัญต่อความหมายของเนื้อหาตอนนั้น
คำซ้ำ
ภาษาภาพพจน์
คำที่ไม่ชัดเจนหรือคำยาก
ไฟล์ PDF ที่สามารถดูหรือพิมพ์ได้มีให้ที่นี่
► อ่าน โรม 12:1-2 และวงกลมคำสำคัญสำหรับศึกษา ขอให้เขียนเหตุผลที่คุณเลือกไว้ข้างๆ คำนั้น
1 = คำที่สำคัญ
2 = คำซ้ำ
3 = ภาษาภาพพจน์
4 = คำที่ไม่ชัดเจนหรือคำยาก
ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลาย
ให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้
แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยมคำบางคำที่คุณอาจทำเครื่องหมายไว้ เช่น...
1 = คำที่สำคัญ: วิงวอน, ถวาย, ลอกเลียนแบบ, รับการเปลี่ยนแปลง, จะเปลี่ยนใหม่
2 = คำซ้ำ: ไม่มีในเนื้อหาตอนนี้
3 = ภาษาภาพพจน์: เครื่องบูชา
4 = คำที่ไม่ชัดเจนหรือคำยาก: การนมัสการโดยวิญญาณจิต
ขั้นตอนที่สอง: เขียนรายการความหมายที่เป็นไปได้ของคำนี้
ภาษาส่วนใหญ่มีคำศัพท์ที่ใช้ได้หลากหลายวิธี โดยมีความหมายที่แตกต่างกันมาก โดยทั่วไปผู้ฟังจะรู้ว่าผู้พูดตั้งใจจะสื่อความหมายอะไรจากบริบท ในบางครั้ง ความเข้าใจผิดอย่างตลกขบขันหรือร้ายแรงอาจเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ฟังไม่คำนึงถึงบริบทและเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อ
► คุณคิดถึงเวลาที่ใครสักคนทำผิดพลาดเนื่องจากพวกเขาเข้าใจความหมายของคำที่ใครบางคนพูดผิดไปไหม?
ในขั้นตอนที่สองนี้ เราควรพยายามนึกถึงทุกวิถีทางที่เป็นไปที่คำนั้นจะถูกใช้ ถ้าหากพระคัมภีร์ฉบับแปลของเราเป็นฉบับเก่า เราก็ควรคิดถึงว่ามีความหมายอื่นเพิ่มเติมสำหรับคำนั้นในอดีตไหม[1] ถ้าเรามีพจนานุกรมก็จะเป็นประโยชน์มากในการทำรายการความหมายที่เป็นไปได้ของคำนั้น หากเรากำลังศึกษาร่วมกันกับคนอื่น พวกเขาอาจช่วยเราคิดถึงความหมายที่นอกเหนือความคิดของเราได้ด้วย
หากเป็นไปได้ขอให้ดูจากพระคัมภีร์ฉบับแปลหลายฉบับว่าแต่ละฉบับใช้คำเดียวกันไหม[2] หากมีฉบับแปลหนึ่งใช้คำที่แตกต่างออกไป ขอให้เปรียบเทียบคำเพื่อดูว่ามีความแตกต่างอะไรบ้าง คำนั้นมีความหมายอย่างเดียวกันไหม? หากไม่เหมือนกัน แล้วอะไรคือความแตกต่าง? ความหมายของเนื้อหาตอนนั้นเปลี่ยนไปไหมจากการใช้คำที่แตกต่างกันนี้?
► ถวาย เป็นหนึ่งในคำจาก โรม 12:1-2 ที่เราทำเครื่องหมายไว้เพื่อการศึกษา ขอให้ช่วยกันทำรายการความหมายที่เป็นไปได้ของคำว่า ถวาย
ขั้นตอนที่สาม: สังเกตความหมายของคำในบริบทนั้น
หลังจากพิจารณาการใช้คำต่างๆ และทำรายการความหมายที่เป็นไปได้แล้ว คุณก็พร้อมที่จะค้นพบว่าคำนั้นหมายถึงอะไรในพระคัมภีร์ตอนที่คุณกำลังศึกษา บริบทจะเป็นแนวทางให้คุณ โปรดจำไว้ว่าผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะใช้ความหมายพิเศษที่คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจ
เราได้ศึกษาความสำคัญของบริบทในบทที่ 5 แล้ว ดังนั้นเราจะไม่ทบทวนเนื้อหานี้ในรายละเอียด เพื่อสรุปบทบาทของบริบท เราจะพิจารณาข้อพระคัมภีร์ บท และพระธรรมที่อยู่แวดล้อมเพื่อกำหนดคำจำกัดความที่ดีที่สุดสำหรับคำนั้นๆ
มีคำถามที่ต้องพิจารณาเมื่อคุณดูบริบทและพยายามค้นหาความหมายของคำๆ หนึ่ง
(1) มีการเปรียบเทียบความแตกต่างหรือความเหมือนในพระคัมภีร์ตอนนั้นที่ช่วยกำหนดคำนิยามของคำนั้นหรือไม่?
► อ่าน ยอห์น 3:16: “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ขอให้ช่วยกันเขียนรายการความหมายที่เป็นไปได้ของคำว่า พินาศ (คุณอาจใช้พจนานุกรมที่คุณมี) ตอนนี้ขอให้พิจารณาการเปรียบเทียบความแตกต่างที่ให้ไว้ในข้อพระคัมภีร์ มีการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำว่าพินาศกับคำว่ามีชีวิตนิรันดร์ ในรายการของคุณ มีความหมายใดของคำว่าพินาศที่ดูเหมือนพระเยซูตั้งใจจะสื่อมากที่สุดในประโยคนี้?
(2) ผู้เขียนใช้คำนี้อย่างไรในที่อื่นๆ?
คำว่า โลก ถูกใช้ใน ยอห์น 3:16 คำว่า โลก สามารถหมายถึงหลายสิ่งหลายอย่างได้ เช่น...
จักรวาลในทางกายภาพ
มนุษย์ทุกคน
ชนชาติที่เจริญแล้วซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
สังคมทั่วไปที่ปฏิเสธพระเจ้า
ผู้เขียนใช้คำว่า โลก เพื่อกล่าวถึงแต่ละสิ่งเหล่านี้ในพระคัมภีร์หลายที่ เพื่อจะสังเกตได้ว่าความหมายใดของคำว่า โลก ใน ยอห์น 3:16 เราควรพิจารณาตัวอย่างอื่นๆ ในการใช้คำนี้ของยอห์น
ยอห์น 1:10 “พระองค์ทรงอยู่ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์” พระคัมภีร์ข้อนี้กำลังพูดถึงพระเยซู โลกไม่รู้จักพระองค์
ยอห์น 7:7 “โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย” พระเยซูกำลังตรัสในข้อนี้ โลกเกลียดชังพระองค์
ยอห์น 14:17 “คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน” โลกไม่รับพระวิญญาณแห่งความจริง
1 ยอห์น 2:15-17 “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์” ค่านิยมและการแสวงหาของโลกนั้นตรงกันข้ามกับค่านิยมและการแสวงหาของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
อัครทูตยอห์นมักจะใช้คำว่า โลก เพื่อกล่าวถึงสังคมทั่วไปที่ปฏิเสธพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นถึงขอบเขตคำสัญญาของพระเยซูได้ว่า พระเจ้ารักบรรดาคนที่ตีตัวออกห่างจากพระองค์มากจนถึงกับยอมมอบพระบุตรของพระองค์เพื่อให้ทุกคนได้รับความรอด
(3) บริบทแสดงให้เห็นอะไรเกี่ยวกับความหมายของคำนั้น?
► ดูใน ลูกา 1:68-79
ใน ลูกา 1:71 เศคาริยาห์อธิษฐานเกี่ยวกับการรอดพ้นของอิสราเอล เขากำลังพูดถึงอะไร? คำว่า รอดพ้น หมายถึงอะไรในข้อนี้?
แนวคิดเรื่อง ความรอด มีมากกว่าหนึ่งความหมายในพระคัมภีร์ คำนี้อาจกล่าวถึงสิ่งต่อไปนี้อย่างเจาะจง
การช่วยให้รอดพ้นจากศัตรูหรืออันตราย
การช่วยให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วย
การช่วยให้รอดพ้นจากความบาป
บริบทโดยตรง (ลูกา 1:68-74) แสดงให้เห็นว่า รอดพ้น หมายถึงการช่วยให้รอดพ้นจากศัตรู การช่วยให้รอดพ้น (ความรอด) จะทำให้คำสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับอับราฮัมสำเร็จเป็นจริง (ลูกา 1:73)
ไม่กี่ข้อต่อมา ลูกาใช้คำว่า ความรอด ในความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ลูกา 1:77) โดยผ่านการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เศคาริยาห์มองเห็นว่าบุตรชายของเขาจะได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้เผยพระวจนะถึงองค์ผู้สูงสุด บุตรชายของเศคาริยาห์จะให้ความรู้แก่ประชากรของพระเจ้าเรื่องความรอดที่มาโดยการให้อภัยความบาปของพวกเขา คำว่า ความรอด ในที่นี้เชื่อมโยงกับการให้อภัยความบาป
ความหมายที่แตกต่างกันของคำว่า ความรอด ถูกใช้ในคำอธิษฐานนี้ เรากำหนดความหมายจากบริบท
บันทึกสำหรับหัวหน้าชั้นเรียน: จัดสรรเวลาในชั้นเรียนเพื่อทำกิจกรรมฝึกปฏิบัติเหล่านี้ หากคาบเรียนของคุณมีเวลา 1 ชั่วโมง ขอให้ใช้เวลาหนึ่งคาบเรียนเพื่อทำกิจกรรมฝึกปฏิบัติเหล่านี้ ขอแนะนำให้จัดสรรเวลาสำหรับแต่ละแบบฝึกหัด การฝึกปฏิบัติร่วมกันในชั้นเรียนจะช่วยให้นักเรียนนำแนวคิดที่เรียนรู้ไปใช้ การเข้ากระบวนการศึกษาคำร่วมกับผู้อื่นยังช่วยให้พวกเขาเห็นว่ามักมีมุมมองและรายละเอียดบางอย่างที่พวกเขาจะไม่คำนึงถึงเลยหากทำเองตามลำพัง
สำหรับกิจกรรมกลุ่มย่อย ให้แบ่งนักศึกษาเป็นกลุ่มละสามคน ให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันในช่วงห้านาทีสุดท้ายและอภิปรายสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้
► กิจกรรมกลุ่มย่อย (20 นาที) ในกลุ่มของคุณ ค้นหาข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่มีคำๆ เดียวกันแต่ถูกใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน มีคำที่แนะนำให้คุณศึกษาในช่วงเริ่มต้น เช่น บ้าน นิมิต วัน ผล เมื่อคุณรู้ว่าพระคัมภีร์ข้อไหนที่ใช้คำเดียวกันนี้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน ขอให้ทำรายการวิธีการใช้คำนั้น การศึกษาคำช่วยให้การตีความพระคัมภีร์แต่ละข้อถูกต้องอย่างไร?
► กิจกรรมกลุ่มรวม (10 นาที) เวลานี้ให้กลับมาที่ โรม 12:1 พร้อมกับรายการความหมายที่เป็นไปได้ของคำว่า ถวาย ขอให้ใช้คำถามข้างต้นช่วยคุณสังเกตว่าความหมายใดที่ข้อนั้นตั้งใจสื่อ
► กิจกรรมกลุ่มย่อย (30 นาที) ในกลุ่มของคุณ ขอให้ฝึกทำตามกระบวนการศึกษาคำ คุณได้ทำเครื่องหมายคำต่างๆ ใน โรม 12:1-2 ที่ควรศึกษาอย่างละเอียดแล้ว สำหรับแต่ละคำเหล่านั้น ให้เขียนรายการความหมายที่เป็นไปได้และกำหนดว่าคำนั้นมีความหมายอย่างไรในบริบทนั้น
ในบทที่ 6 เราได้ดูการใช้ภาษาภาพพจน์อย่างพอสังเขป ไม่ว่าเราจะศึกษาคำอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพียงใด ข้อสรุปของเราก็จะผิดพลาดหากเราเข้าใจภาษาภาพพจน์ของผู้เขียนผิด ในการใช้ภาษาภาพพจน์ สิ่งสำคัญไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษรของคำ แต่เป็นแนวคิดที่ภาพสัญลักษณ์เหล่านั้นสื่อถึง[1]
เราทุกคนใช้ภาษาภาพพจน์ ลองนึกภาพว่ามีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่งกำลังแสดงภาพสวนของเธอให้คุณดู คุณรู้สึกทึ่งกับสวนนั้นและถามเพื่อนของคุณว่า “คุณปลูกต้นไม้ที่สวยงามได้อย่างไร?” เธอตอบว่า “ฉันมีนิ้วโป้งสีเขียว” เธอไม่ได้หมายความว่านิ้วโป้งของเธอเป็นสีเขียวจริงๆ เธอกำลังใช้สำนวนภาพพจน์แบบอังกฤษอเมริกันซึ่งหมายถึง “ฉันมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาในการปลูกต้นไม้”
► มีวลีใดบ้างในภาษาของคุณที่มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายตามตัวอักษร?
บางครั้งคำๆ หนึ่งก็ใช้แทนความหมายอย่างอื่น ซึ่งไม่เหมือนกับคำที่มีหลายความหมาย เช่น ในพระคัมภีร์บางคนถูกเรียกว่า สุนัข (วิวรณ์ 22:15) คำกล่าวนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์บุคคลที่มีคุณลักษณะบางอย่างของสุนัขที่มนุษย์ไม่ควรมี คำว่า สุนัข ยังคงหมายถึงสัตว์ที่เราเรียกว่าสุนัข แต่ใช้ในเชิงเปรียบเทียบเพื่ออ้างถึงบุคคล พระเยซูเรียกซีโมนว่า เปโตร ซึ่งแปลว่า ศิลา เพราะเปโตรมีลักษณะของศิลาที่มนุษย์ควรมี (มัทธิว 16:18) พระเยซูใช้ความหมายทั่วไปของคำว่า ศิลา เพื่อชี้ให้เห็นว่าซีโมนเป็นเหมือนศิลาในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
พระเยซูเรียกเฮโรดว่า สุนัขจิ้งจอก (ลูกา 13:32) เราไม่จำเป็นต้องศึกษาความหมายตามตัวอักษรที่แตกต่างกันของคำว่าสุนัขจิ้งจอกแล้วจึงมาดูบริบทเพื่อทำความเข้าใจว่าพระเยซูหมายถึงสัตว์ชนิดใด นี่เป็นคำกล่าวด้วยภาษาภาพพจน์ ดังนั้นเราควรพยายามทำความเข้าใจว่าพระเยซูต้องการจะพูดถึง
เฮโรดอย่างไรโดยการเรียกเขาว่าสุนัขจิ้งจอก พระเยซูหมายความว่าเฮโรดฉลาดแต่ไม่น่าไว้วางใจเนื่องจากอุปนิสัยที่ไม่ดีของเขา
► สัตว์ชนิดใดที่ใช้เป็นภาษาภาพพจน์เพื่อวิจารณ์บุคคลในวัฒนธรรมของคุณ?
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำกล่าวนั้นมีความหมายตามตัวอักษรหรือเป็นภาษาภาพพจน์? มีคำแนะนำสองประการให้พิจารณา
1. ใช้ความหมายแบบภาษาภาพพจน์เมื่อพระคัมภีร์ตอนนั้นบอกให้คุณทำเช่นนั้น ปฐมกาล 37 กล่าวถึงความฝันสองเรื่อง ความฝันในพระคัมภีร์มักสื่อสารเป็นภาพพจน์ ดังนั้น เราไม่ควรคาดหวังว่าความฝันของโยเซฟจะหมายถึงฟ่อนข้าวจะโค้งคำนับฟ่อนข้าวอีกฟ่อนหนึ่งจริงๆ ตามตัวอักษร หรือดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวจะโค้งคำนับโยเซฟจริงๆ ตามตัวอักษร ในทางกลับกัน คำกล่าวที่ว่านี่คือความฝันบอกให้เราคาดหวังภาษาภาพพจน์ ในกรณีนี้ การตีความอยู่ใน ปฐมกาล 37:8,10
2. ใช้ความหมายแบบภาษาภาพพจน์เมื่อความหมายตามตัวอักษรเป็นไปไม่ได้หรือไม่สมเหตุผล ใน วิวรณ์ 1:16 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏพร้อมกับดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ในพระธรรมที่เต็มไปด้วยภาพพจน์ ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ภาพของพระเยซูจริงๆ ตามตัวอักษรเลย! เมื่อเราอ่านวิวรณ์ต่อไป เราจะเห็นว่าภาพของพระเยซูพร้อมดาบสองคมขนาดใหญ่สอดคล้องกับเนื้อหาเรื่องชัยชนะสูงสุดของพระเจ้าเหนืออำนาจของความชั่วร้าย
จำไว้ว่าพระเจ้าประทานพระวจนะของพระองค์เพื่อสื่อสารความจริง ไม่ใช่เพื่อปกปิดความจริง ภาษาภาพพจน์ส่วนใหญ่ในพระคัมภีร์จะชัดเจน เราได้เห็นรายการภาษาภาพพจน์ในบทเรียนที่ 6 ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจได้ดีว่าจะตีความภาษาภาพพจน์อย่างไร หลังจากที่คุณจำภาษาภาพพจน์ได้แล้ว ให้ถามว่า “ทำไมพระเจ้าจึงดลใจให้เกิดภาพพจน์นี้? ภาพพจน์นี้สื่อความจริงอะไร?”
มีบางคำที่ใช้ในลักษณะภาพพจน์และกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างถาวร เมื่อพระเยซูตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา…” (ยอห์น 10:27) ผู้ฟังรู้ว่าพระองค์หมายถึงคนที่ติดตามพระองค์ และพระคัมภีร์ใช้สัญลักษณ์นั้นในครั้งอื่น (เช่นใน สดุดี 23) ใน วิวรณ์ 5 สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ปรากฏต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า พจนานุกรมพระคัมภีร์อธิบายว่า “สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์” เป็นตำแหน่งที่อ้างอิงถึงพระเมสสิยาห์ เมื่อคุณรู้เช่นนั้น คุณถามว่า “ทำไมยอห์นถึงใช้ตำแหน่งนี้? ตำแหน่งนี้บอกให้เรารู้อะไรเกี่ยวกับพระเยซู?” ขอให้ตระหนักว่าภาษาภาพพจน์ช่วยให้เราเข้าใจภาพที่ยอห์นสื่อเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจในการไถ่ของพระเยซู
ข้อมูลความจริงที่ว่า บางครั้งผู้เขียนพระคัมภีร์ใช้ภาษาภาพพจน์นั้นไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรเลย ในทางกลับกัน เมื่อรู้ว่าบางครั้งมีการใช้ภาษาภาพพจน์ เราก็ควรพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาตามลักษณะที่ผู้เขียนตั้งใจไว้ เราไม่ควรใช้จินตนาการของเราในการทำให้ข้อความในพระคัมภีร์มีความหมายที่ผู้เขียนไม่ได้พยายามจะสื่อ
ผู้เขียนสุภาษิตให้คำสัญญานี้กับบุคคลที่แสวงหาปัญญา “ถ้าเจ้าแสวงหาปัญญาเหมือนหาเงิน และเสาะหาเธออย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระยาห์เวห์และพบความรู้ของพระเจ้า” (สุภาษิต 2:4-5) ไม่มีแหล่งแห่งปัญญาใดที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวจนะของพระเจ้า การศึกษาพระคัมภีร์ของคุณจะทำให้คุณได้รับรางวัลอันเป็นนิรันดร์
ไฟล์ PDF ของประเด็นสำคัญของทุกบทเรียน
(1) การศึกษาคำคือการตรวจสอบคำที่สำคัญในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งเพื่อค้นพบความหมายตามบริบท การศึกษาคำ ช่วยให้เราตีความพระคัมภีร์ตอนที่เรากำลังศึกษาได้อย่างถูกต้อง
(2) ข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นที่ต้องหลีกเลี่ยงเมื่อทำการศึกษาคำ ได้แก่
การละเลยความหมายเดิมของคำ
การคิดเอาเองว่าคำๆ หนึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันในทุกบริบท
(3) กระบวนการศึกษาคำ
(4) คำถามที่ช่วยคุณในการสังเกตว่าคำนั้นมีความหมายตามบริบทอย่างไร
มีการเปรียบเทียบความแตกต่างหรือความเหมือนในพระคัมภีร์ตอนนั้นที่ช่วยกำหนดคำนิยามของคำนั้นหรือไม่?
ผู้เขียนใช้คำนี้อย่างไรในที่อื่นๆ?
บริบทแสดงให้เห็นอะไรเกี่ยวกับความหมายของคำนั้น?
(5) สิ่งที่ต้องจดจำเมื่อศึกษาภาษาภาพพจน์
แนวคิดที่เป็นสัญลักษณ์คือสิ่งที่สำคัญ
ภาพ วลี หรือคำที่เป็นภาษาภาพพจน์นั้นแทนถึงสิ่งอื่น
ภาษาภาพพจน์นั้นดึงความสนใจไปที่ลักษณะของสิ่งที่ภาพพจน์นั้นแทนถึง
เราควรพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาตามลักษณะที่ผู้เขียนตั้งใจไว้ ไม่ว่าความหมายจะเป็นตามตัวอักษรหรือเป็นภาษาภาพพจน์ก็ตาม
(6) เมื่อใดที่ควรตีความเนื้อหาพระคัมภีร์แบบภาษาภาพพจน์
เมื่อพระคัมภีร์ตอนนั้นบอกให้คุณทำเช่นนั้น
เมื่อความหมายตามตัวอักษรเป็นไปไม่ได้หรือไม่สมเหตุผล
(1) ในบทที่ 1 คุณเลือกพระคัมภีร์ตอนหนึ่งเพื่อศึกษาตลอดหลักสูตร จากพระคัมภีร์ตอนนั้น ขอให้เขียนรายการคำที่คุณคิดว่าสำคัญต่อการศึกษา มองหาคำที่สำคัญ คำซ้ำ ภาษาภาพพจน์ หรือคำที่ไม่ชัดเจนหรือคำยาก ศึกษาแต่ละคำเหล่านี้โดยทำตามกระบวนการที่อธิบายไว้ในบทเรียนนี้ สำหรับแต่ละคำ ขอให้เขียนรายการความหมายที่เป็นไปได้ พิจารณาบริบท สังเกตความหมายของแต่ละคำตามบริบทของพระคัมภีร์ตอนที่คุณกำลังศึกษา
(2) พิจารณาคำแต่ละคำที่คุณพึ่งจะศึกษาไปนั้น ดูที่รายการความหมายที่เป็นไปได้ที่คุณทำไว้สำหรับแต่ละคำที่ศึกษา การเข้าใจความหมายผิดไปในการศึกษาคำสามารถนำคุณให้ตีความพระคัมภีร์ตอนนั้นผิดได้อย่างไรบ้าง? เขียนสะท้อนคิดมา 2-4 ประโยค
SGC exists to equip rising Christian leaders around the world by providing free, high-quality theological resources. We gladly grant permission for you to print and distribute our courses under these simple guidelines:
All materials remain the copyrighted property of Shepherds Global Classroom. We simply ask that you honor the integrity of the content and mission.
Questions? Reach out to us anytime at info@shepherdsglobal.org
Total
$21.99By submitting your contact info, you agree to receive occasional email updates about this ministry.
Download audio files for offline listening
No audio files are available for this course yet.
Check back soon or visit our audio courses page.
Share this free course with others