จุดประสงค์บทเรียน
(1) เข้าใจความสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์อย่างละเอียด
(2) ถามคำถามสำคัญสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์แต่ละข้อ
(3) มีแผนสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบ
(4) ฝึกการสังเกตในรายละเอียดของข้อพระคัมภีร์ที่เลือก
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
1 min read
by Randall McElwain
(1) เข้าใจความสำคัญของการอ่านพระคัมภีร์อย่างละเอียด
(2) ถามคำถามสำคัญสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์แต่ละข้อ
(3) มีแผนสำหรับการศึกษาพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบ
(4) ฝึกการสังเกตในรายละเอียดของข้อพระคัมภีร์ที่เลือก
[1]► ให้สมาชิกกลุ่มหนึ่งหรือสองคนอธิบายถึงการเดินทางของพวกเขามายังสถานที่พบปะกันสำหรับหลักสูตรนี้ ขอให้พูดถึงรายละเอียดต่างๆ ให้มากที่สุด คุณผ่านร้านอาหาร คริสตจักร หรือพบเห็นธุรกิจอะไรไหม? คุณผ่านป้ายหยุดหรือไฟจราจรให้หยุดกี่ครั้ง? คุณพบเจออะไรผิดปกติที่โดยปกติแล้วจะไม่เจอเวลาเดินทางมาไหม? เมื่อแต่ละคนคำอธิบายจบแล้ว ก็ให้พูดคุยกันว่ามีการสังเกตเห็นและไม่สังเกตเห็นอะไรบ้าง
เมื่อกิเดโอนอ่านพระคัมภีร์ เขาจบลงด้วยภาพในจิตใจ หากคุณขอให้กิเดโอนอ่านและสรุป มาระโก 1:29-31 เขาจะพูดว่า “พระเยซูออกจากธรรมศาลาในกาลิลีพร้อมกับสาวกสี่คน (ซีโมน อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น) พวกเขาไปที่บ้านของซีโมนที่ซึ่งแม่ยายของซีโมนป่วยเป็นไข้ พระเยซูจับมือของเธอให้ลุกขึ้น และไข้ของเธอก็หายทันที เธอรู้สึกดีขึ้นมากจนสามารถจัดเตรียมอาหารให้พวกเขาได้ เธอไม่จำเป็นแม้แต่จะต้องพักผ่อนหรือพักฟื้นเลย!”
เมื่อโยนาธานอ่านพระคัมภีร์ เขาอ่านพระวจนะแต่มองเห็นรายละเอียดเล็กน้อย ถ้าคุณขอให้โยนาธานอ่านและสรุป มาระโก 1:29-31 เขาจะพูดว่า “พระเยซูเยี่ยมเยียนที่บ้านของซีโมนและได้รักษาใครบางคน”
ผู้อ่านเหล่านี้คนไหนที่มีการสังเกต? ผู้อ่านคนไหนจะจดจำเรื่องราวได้ยาวนานกว่า? ผู้อ่านคนไหนมีข้อมูลมากกว่าที่เป็นพื้นฐานในการตีความเรื่องราวนี้? คำตอบเห็นได้ชัดเจน กิเดโอนมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นใน มาระโก 1:29-31 โยนาธานอ่านบทนี้แต่ไม่ได้สังเกต
ขั้นตอนแรกในการศึกษาพระคัมภีร์คือการสังเกต ในขั้นตอนนี้เราถามว่า “ฉันมองเห็นอะไรในส่วนนี้ของพระคัมภีร์?” กุญแจไขสู่การตีความพระคัมภีร์อย่างมีประสิทธิภาพคือการสังเกตให้ได้มากที่สุด ในบทเรียนนี้ เราจะเรียนรู้ที่จะสังเกตรายละเอียดสำคัญในข้อพระคัมภีร์ ขอให้อดทนในขณะที่ทำสิ่งนี้ ยิ่งคุณสังเกตมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีข้อมูลเพื่อใช้ในการตีความมากขึ้นเท่านั้น
“ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็น สิ่งอัศจรรย์จากธรรมบัญญัติของพระองค์”
- สดุดี 119:18
กิจการ 1:8:
แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ
เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน
และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเรา
ในกรุงเยรูซาเล็ม
ทั่วแคว้นยูเดีย
ทั่วแคว้นสะมาเรีย
และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
เราสามารถสังเกตอะไรได้ในพระคัมภีร์ข้อเดียวนี้?
คำแรกคืออะไร?
“แต่” แต่ เป็นคำเชื่อมที่ชี้ไปยังข้อก่อนหน้า ใน กิจการ 1:6 พวกสาวกถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้ชนชาติอิสราเอลในครั้งนี้หรือ?” ตอนนี้พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว พระองค์จะสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ไหม? พระเยซูตอบสนองด้วยสองประโยคคือ...
“ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะรู้เวลาและวาระ…” (กิจการ 1:7) นี่เป็นความรับผิดชอบของพระบิดา
“แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ… และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยาน ” นี่เป็นความรับผิดชอบของพวกท่าน
ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้อง?
“ท่าน” ใครที่พระเยซูกำลังพูดถึง? พวกอัครทูต (กิจการ 1:2, 4) ใช้เวลาสักครู่เพื่อถามว่า “อัครทูตเหล่านี้คือใคร?” เขียนรายการทุกสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับพวกอัครทูต ผู้ที่พระคัมภีร์ข้อนี้กำลังแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชแห่งเพ็นเทคอสที่ทำให้เกิดการพลิกฟื้นอย่างอัศจรรรย์
พวกเขาเป็นชาวยิว แต่พระเยซูกำลังส่งพวกเขาไปยังสะมาเรีย!
พวกเขาไม่มีฤทธิ์อำนาจที่จะรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกผีสิงได้ (มาระโก 9:14-29) แต่พวกเขาจะได้รับฤทธิ์อำนาจ
พวกเขาวิ่งหนีด้วยความกลัวเมื่อมีการจับกุมพระเยซู (มัทธิว 26:56) แต่พวกเขาจะเป็นพยานให้กับพระองค์ไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
คำใดคือคำกริยาในประโยค?
“จะได้รับ” คำกริยานี้บอกเราว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้น ในกรณีนี้ รูปกาลของคำกริยาคือกำลังมองไปที่บางสิ่งซึ่งพวกเขาจะได้รับในอนาคต
พวกเขาจะได้รับอะไร?
“ฤทธานุภาพ” พระธรรมกิจการจะแสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพนี้ในพันธกิจของพวกอัครทูต
► นี่คือจุดเริ่มต้นของคุณ ขอให้ทำต่อไปกับส่วนที่เหลือของข้อพระคัมภีร์นี้โดยตอบคำถามต่อไปนี้
เมื่อใดที่พวกเขาจะได้รับฤทธานุภาพ?
ใครเป็นผู้ที่จะให้ฤทธานุภาพแก่พวกเขา?
ผลลัพธ์ของฤทธานุภาพนี้คืออะไร? (ฤทธานุภาพมาก่อนการเป็นพยาน ผลลัพธ์ในทางธรรมชาติของฤทธานุภาพนี้จะเป็นความปรารถนาแบ่งปันข่าวประเสริฐให้กับผู้อื่น)
พวกเขาจะเป็นพยานให้กับใคร?
พวกเขาจะเป็นพยานที่ไหน? (คุณรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่ทั้งสี่แห่งนี้บ้าง? สะมาเรียมีความพิเศษอย่างไร? อัครทูตชาวยิวเหล่านี้ต้องการไปที่นั่นหรือไม่?)
ยากอบมีสายตาที่ไม่ดี เมื่อเขาอยู่ที่โรงเรียน เขามองเห็นครูได้ไม่ชัด เขาอ่านคำบนกระดานดำหน้าห้องไม่ได้ แล้วในวันหนึ่ง เขาเริ่มใส่แว่นสายตา ในทันใดนั้น เขาก็เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน! เขามองเห็นใบหน้าของครูชัดเจน เขาอ่านสิ่งที่เขียนบนกระดานดำได้ เขาตื่นเต้นมาก!
การสังเกตอย่างละเอียดก็เหมือนกับการใส่แว่นสายตาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาไม่ดี การเรียนรู้วิธีการสังเกตพระคัมภีร์จะพัฒนาความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์กำลังกล่าว
การฝึกปฏิบัติใน กิจการ 1:8 แสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันนี้คุณสังเกตสิ่งที่คุณอ่านได้ดีแค่ไหน ให้เราศึกษาเคล็ดลับบางประการเพื่อพัฒนาพลังของคุณในการสังเกตให้ดีขึ้น คุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับคำถามที่ใช้เพื่อให้เข้าใจข้อพระคัมภีร์ชัดเจนยิ่งขึ้น จากนั้นคุณจะได้ฝึกอ่านข้ออื่นๆ
เมื่อคุณอ่านข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง อย่าบอกว่า “ฉันรู้จักข้อนี้แล้ว!” แต่ให้ขอพระเจ้าเปิดตาคุณให้มองเห็นพระวจนะของพระองค์ด้วยวิธีการใหม่ๆ เครื่องมือในบทเรียนนี้ช่วยให้คุณอ่านด้วยสายตาใหม่ได้[1]
อ่านเพื่อได้ความเข้าใจ
มีเด็กชายอายุ 10 ขวบคนหนึ่งตัดสินใจว่าจะอ่านพระคัมภีร์ในแต่ละปี เป็นทางออกที่ดี แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้วิธีอ่านพระคัมภีร์อย่างมีประสิทธิภาพ เขามีปฏิทินตั้งไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาอ่านได้มากแค่ไหนในแต่ละวัน แต่เขาก็มักจะอ่านล่าช้าบ่อยครั้ง ในวันอาทิตย์ตอนบ่าย เขาพยายามจะอ่านให้ทัน เขาตรวจพบว่าเขาอ่านช้าไป 20 บท (ใน เลวีนิติ!) ดังนั้นเขาจึงจะอ่านเลวีนิติทั้งหมดในบ่ายวันหนึ่ง เขาจะอ่านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะอ่านให้จบ หลังจากอ่านเสร็จ 10 นาที เขาบอกคุณไม่ได้เลยว่าเลวีนิติมีเนื้อหาอะไร เขาอ่านโดยปราศจากความเข้าใจ
การอ่านเพื่อได้ความเข้าใจเป็นงานหนัก พระคัมภีร์อธิบายถึงการค้นหาความจริงเอาไว้ในทำนองนี้ว่า “ถ้าเจ้าแสวงหาปัญญาเหมือนหาเงิน และเสาะหาเธออย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ แล้วเจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระยาห์เวห์ และพบความรู้ของพระเจ้า” (สุภาษิต 2:4-5) อ่านพระคัมภีร์อย่างละเอียด ถามคำถาม จดบันทึก อ่านด้วยความคิดจิตใจ
บางครั้งคุณรับความเข้าใจใหม่ๆ ได้โดยการเขียนสรุปพระคัมภีร์ด้วยคำของคุณเอง แม้การสรุปของคุณอาจไม่ได้เป็นการแปลเชิงวิชาการ แต่ก็ช่วยให้คุณคิดลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความหมายของเนื้อหานั้นได้
ถามคำถามในขณะที่อ่าน
กุญแจสำคัญในการอ่านด้วยความคิดจิตใจคือการถามคำถาม
► อ่าน ลูกา 24:13-35 ก่อนที่จะคืบหน้าต่อในส่วนนี้ เมื่อคุณอ่านบทเรียนนี้ ขอให้เปิดดู ลูกา 24 เพื่อตอบแต่ละคำถาม
(1) ใคร?
ใครคือผู้คนที่ปรากฎในเนื้อหาตอนนี้? คุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับแต่ละคน?
ใครคือผู้คนที่ปรากฎใน ลูกา 24:13-35? เคลโอปัสกับเพื่อนอีกคนซึ่งไม่ทราบชื่อ[2] กำลังเดินทางไปที่เอมมาอูสในวันที่พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พวกเขาเป็นผู้ติดตามพระเยซูและรู้ถึงการอัศจรรย์กับคำสอนของพระองค์ วันอาทิตย์วันนี้ พวกเขากลายเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับคำอธิบายจากพระเยซูเองถึงการทนทุกข์และการฟื้นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ พวกเขาได้กลายมาเป็นพยานในยุคแรกๆ ถึงการฟื้นคืนพระชนม์
(2) อะไร?
มีอะไรเกิดขึ้นในเนื้อหานี้? ถ้าหากเป็นเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น? ถ้าหากเป็นจดหมายฝาก ผู้เขียนกำลังพยายามสอนอะไร?
ใน ลูกา 24 เหตุการณ์คือการสำแดงของพระเยซู ตาของชายสองคนนี้ได้รับการเปิดออกต่อความเป็นจริงเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู (ลูกา 24:31)
(3) เมื่อใด?
เหมือนคำถามก่อนหน้า ระยะเวลาให้บริบทสำหรับการอ่านของเรา ในขั้นตอนการสังเกตของการศึกษาพระคัมภีร์ เรามองหารายละเอียดเกี่ยวกับระยะเวลาในเนื้อหานั้นๆ จาก ลูกา 24:13 เราเรียนรู้ว่าการเดินทางไปยังเอมมาอูสเกิดขึ้นในวันเดียวกันกับการค้นพบว่าอุโมงค์วางศพว่างเปล่า
สาวกสองคนนี้พบพระเยซูเพียงในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากอุโมงค์วางศพถูกพบว่าว่างเปล่า สิ่งนี้บอกเราให้รู้ถึงความรู้สึกของพวกเขาในขณะที่กำลังพูดคุยซักถามกัน (ลูกา 24:15) คิดถึงอารมณ์ที่ขึ้นลงของชายสองคนนี้จากสิ่งที่พวกเขาประสบในช่วงสามวันที่ผ่านมา
ในวันพฤหัส พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเมื่อเห็นพระเยซูถูกจับ ในวันศุกร์ ความหวังของพวกเขาสำหรับอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ก็พังทลายลงเมื่อพระเยซูสิ้นลมหายใจ ตอนนี้วันอาทิตย์ อุโมงค์วางศพกลับว่างเปล่า เมื่อพวกเขาเดินทางไปเอมมาอูส พวกเขาพยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เป็นความลี้ลับซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้
(4) ที่ไหน?
มีประโยชน์บ่อยครั้งในการถามว่า “เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน?” แผนที่พระคัมภีร์สามารถช่วยให้คุณค้นหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ได้ พระคัมภีร์บางเล่มมีแผนที่อยู่ด้านหลัง
ใน ลูกา 24 เคลโอปัสกับเพื่อนของเขากำลังเดินทางจากเยรูซาเล็มไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าเอมมาอูสซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกประมาณ 11 กิโลเมตร ช่วงเวลาที่พวกเขาเดินทางไปนี้เป็นช่วงเวลาเย็น แต่หลังจากตาของพวกเขาถูกเปิดออก ชายสองคนนี้ก็กลับไปยังเยรูซาเล็มด้วยความชื่นชมยินดีอย่างเปี่ยมล้าน ข่าวสารนี้ไม่สามารถรอจนถึงวันพรุ่งนี้ได้!
(5) ทำไม?
เราเห็นว่าทำไมสาวกเหล่านี้จึงท้อแท้เมื่อเราตอบคำถามเรื่องเวลา พวกเขาท้อแท้เพราะความหวังทั้งหมดเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ดับลงเมื่อพระเยซูตาย
(6) อย่างไร?
ชีวิตของสาวกเหล่านี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในการเผชิญหน้านี้? พวกเขาหันกลับไปเยรูซาเล็มด้วยความมั่นใจว่าพระเยซูฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว เหมือนกับคนเป็นล้านๆ นับจากนั้นที่ชีวิตของพวกเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลโดยการฟื้นคืนพระชนม์นี้
อ่านเนื้อหาตอนเดียวกันหรือพระธรรมนั้นหลายๆ รอบ
จี แคมป์เบล มอร์แกน เป็นหนึ่งในนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ของศตวรรษที่ 20 มอร์แกนไม่เคยเข้าเรียนในพระคริสตธรรม แต่เขาได้มาเป็นครูสอนพระคัมภีร์ที่มีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะเทศนาเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ใดข้อหนึ่ง มอร์แกนได้อ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มที่มีข้อพระคัมภีร์ที่เขาเลือกอย่างน้อย 40 รอบ โดยผ่านกระบวนการนี้ มอร์แกนเรียนรู้ว่าพระคัมภีร์แต่ละข้อเข้ากันกับพระคัมภีร์ทั้งพระธรรมนั้นอย่างไร เขารู้แนวคิดที่สำคัญของพระธรรมนั้น เขาเข้าใจข่าวสารของผู้เขียน ครั้งหนึ่งมอร์แกนกล่าวว่า “พระคัมภีร์ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับความขี้เกียจ” การศึกษาพระคัมภีร์เป็นงานหนัก
คุณอาจถามว่า “ฉันจะอ่านหนึ่งพระธรรม 40 รอบได้อย่างไร? ฉันจะไม่มีวันอ่านพระคัมภีร์จบแน่” มันอาจจะไม่ยากอย่างที่คุณคิดก็ได้ ผู้ใหญ่ส่วนมากอ่านได้นาทีละ 200 คำ พวกเขาสามารถอ่านได้ 12,000 คำในหนึ่งชั่วโมง พระคัมภีร์ 44 พระธรรมมีน้อยกว่า 12,000 คำ นี่รวมถึงจดหมายฝากของเปาโล จดหมายฝากทั่วไป ผู้เผยพระวจนะน้อย และพระธรรมในพันธสัญญาเดิมเช่น นางรูธ เอสรา เนหะมีย์ เอสเธอร์ และ ดาเนียล ในหนึ่งวันๆ ละหนึ่งชั่วโมง คุณสามารถอ่านพระธรรมเอเฟซัส ฟีลิปปี โคโลสี และ 1 กับ 2 เธสะโลนิกา 40 รอบได้ในเวลา 40 วัน
การอ่านทั้งพระธรรมจะทำให้เห็นวิธีจัดเรียงพระธรรมนั้นๆ ในตอนต้นเราอ่านกิจการ 1:8 ที่พวกสาวกถูกส่งออกไปเป็นพยานที่เยรูซาเล็ม สะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก เมื่อคุณอ่านกิจการซ้ำหลายครั้ง คุณจะเห็นว่านี่เป็นแบบแผนสำหรับพระธรรมทั้งเล่ม ในช่วงต้นของกิจการ การข่มเหงนำพาสาวกให้ออกจากเยรูซาเล็มไปยังส่วนที่เหลือของยูเดีย ในกิจการ 8 ฟีลิปนำข่าวประเสริฐไปยังสะมาเรีย ในช่วงท้ายของกิจการ เปาโลเทศนาในกรุงโรม จากที่นั่นข่าวประเสริฐจะไปถึงที่สุดปลายของโลกที่เรารู้จักนั้น
คำแนะนำบางประการสำหรับการอ่านซ้ำหลายๆ รอบ
1. อ่านพระคัมภีร์ออกเสียงหรือฟังเสียงการอ่านพระคัมภีร์ ผู้คนที่อยู่ในวัฒนธรรมที่พึ่งพาข้อความที่เขียนในหน้ากระดาษมักจะลืมว่าคริสเตียนในยุคแรกฟังพระคัมภีร์ที่อ่านออกเสียง เมื่อคริสตจักรที่เอเฟซัสได้รับจดหมายจากเปาโล พวกเขาไม่ได้ถ่ายเอกสารให้กับสมาชิกแต่ละคน มีผู้นำคนหนึ่งอ่านจดหมายให้สมาชิกคนอื่นๆ ฟัง ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากได้รับพระวจนะของพระเจ้าโดยผ่านการฟังมากกว่าการอ่าน จดหมายของเปาโลถูกอ่านในคริสตจักร และผู้เผยพระวจนะก็พูดประกาศข่าวสารของตน เมื่ออ่านจดหมายออกเสียงดังๆ หรือฟังหนังสือเสียง คุณจะได้ยินพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกกล่าวออกมาคล้ายกับที่คริสตจักรยุคแรกได้ยิน[3]
2. อ่านพระคัมภีร์ฉบับแปลหลายฉบับ (ถ้าหากในภาษาของคุณมีมากกว่าหนึ่งฉบับแปล) การแปลบางฉบับมีเนื้อหาเชิงเทคนิคมากกว่า ฉบับบางฉบับมีจุดประสงค์เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น การอ่านจากการแปลมากกว่าหนึ่งฉบับอาจช่วยให้คุณเข้าใจข้อความในเชิงลึกยิ่งขึ้น หากคุณรู้มากกว่าหนึ่งภาษา การอ่านพระคัมภีร์ในภาษาอื่นอาจเป็นประโยชน์[4]
3. จดจ่อกับสิ่งที่แตกต่างกันในแต่ละครั้งที่คุณอ่าน ยกตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งอาจอ่านปฐมกาล 3 ได้วันละหนึ่งรอบเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ในแต่ละรอบก็พิจารณาถึงมุมมองที่แตกต่างกันดังนี้
วันจันทร์: อ่านปฐมกาล 3 จากมุมมองของพระบิดาในสวรรค์ พระบิดารู้สึกอย่างไรที่มองเห็นความบาปของบรรดาบุตรของพระองค์?
วันอังคาร: ข้อใดที่สำคัญที่สุดในบทนี้?
วันพุธ: อ่านปฐมกาล 3 จากมุมมองของซาตาน ซาตานพยายามทำลายความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับบรรดาบุตรของพระองค์อย่างไร?
วันพฤหัส: อ่านปฐมกาล 3 ในขณะที่พิจารณาถึงการเสียสละของพระเยซูบนไม้กางเขน
วันศุกร์: อ่านปฐมกาล 3 จากมุมมองของอาดัมกับเอวา พวกเขารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำพิพากษาของพระเจ้า?
วันเสาร์: อ่านปฐมกาล 3 จากมุมมองของใครบางคนที่กำลังอ่านพระคัมภีร์เป็นครั้งแรก เรื่องราวนี้สำคัญอย่างไรต่อความเข้าใจในส่วนที่เหลือของพระคัมภีร์?
ในเว็บ www.bible.com มีแผนการอ่านพระคัมภีร์จบทั้งเล่มภายในหนึ่งปีให้คุณเลือกอ่าน อีกแผนหนึ่งเป็นตามรูปแบบของ จี แคมป์เบล มอร์แกน คือการอ่านพระธรรมหนึ่งหลายรอบในหนึ่งเดือน เนื่องจากพระธรรม 44 เล่มสามารถอ่านจบได้ในหนึ่งชั่วโมงหรือน้อยกว่า คุณจึงสามารถอ่านจนจบหนึ่งพระธรรมได้ 30 รอบในหนึ่งเดือนโดยอ่านหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวัน แม้วิธีนี้อาจดูเหมือนเป็นไปอย่างช้าๆ แต่การอ่านพระธรรมหนึ่งซ้ำหลายรอบจะทำให้คุณมีความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ลึกซึ้งมากขึ้น การอ่านด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณสามารถอ่านพระคัมภีร์ทั้งเล่มจบได้ 30 รอบในเวลาหกปี[5]
ศึกษาไวยากรณ์
พระเจ้าสื่อสารกับเราด้วยหลายวิธี แต่วิธีหลักๆ คือผ่านทางพระวจนะที่เขียนไว้แล้ว แม้คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักภาษาศาสตร์เพื่อจะเข้าใจพระคัมภีร์ แต่ยิ่งคุณเข้าใจภาษาที่เขียนไว้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งเข้าใจความจริงอันล้ำลึกของพระวจนะพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
ดังเช่นตัวอย่างนี้ที่เราจะศึกษาไวยากรณ์ของข้อพระคัมภีร์ที่เป็นที่รู้จักดีของเปาโล “ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน” (โรม 12:1) เพื่อเป็นตัวอย่างการศึกษาไวยากรณ์ของเนื้อหาข้อนี้ เราจะพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
คำกริยา
คำกริยาสื่อสารการกระทำหรือสิ่งที่เป็นอยู่ มีการกระทำสองอย่างใน โรม 12:1:
วิงวอน หมายถึง “อ้อนวอน” หรือแม้แต่ “ขอร้อง” คุณรู้สึกถึงความเร่งด่วนของคำขอของเปาโลไหม? นี่ไม่ใช่คำแนะนำทั่วไป แต่มีอารมณ์ความรู้สึกอันลึกซึ้งเมื่อเปาโลอ้อนวอนให้ผู้อ่านของเขามอบถวายตนเองต่อพระเจ้าอย่างเต็มที่
ถวาย เป็นคำกริยาคำหนึ่งซึ่งเรียกร้องให้อุทิศตัว เปาโลเรียกร้องผู้อ่านของเขาว่า ให้ถวายตัวของท่าน นั่นคือให้มอบถวายตัวของพวกเขาแด่พระเจ้า
คำนาม
ใน โรม 12:1 คำนามที่สำคัญต่อการศึกษาของเราประกอบไปด้วยคำต่อไปนี้
พี่น้อง เปาโลกำลังเขียนถึงผู้เชื่อทั้งหลาย เขาไม่ได้กำลังเรียกให้คนบาปกลับใจมาเชื่อ เขากำลังเรียกผู้เชื่อให้ให้อุทิศตนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ตัว ในส่วนที่เหลือของโรม 12 แสดงให้เห็นว่าคำว่า ตัว แทนถึงตัวตนทั้งหมดของเรา เราอาจถ่ายทอดเนื้อความใหม่ได้ว่า “ให้ถวายตัวของท่านเองทั้งหมด”
เมตตากรุณา การเรียกของเปาโลนั้นขึ้นอยู่กับความเมตตากรุณาของพระเจ้า ในตอนก่อนหน้าก่อนที่จะถึงข้อนี้ เปาโลได้อธิบายถึงการที่พระเจ้าสำแดงความเมตตากรุณาต่อผู้คนทั้งหมดไม่ว่ายิวหรือคนต่างชาติ (โรม 11:32)
เครื่องบูชา ภายใต้กฎบัญญัติของโมเสส ผู้นมัสการนำสัตว์มาถวายเป็นเครื่องบูชา ในอาณาจักรของพระคริสต์ เราถูกเรียกให้ถวายตัวเองอย่างเต็มที่เป็นดั่งเครื่องบูชาที่มีชีวิต
คำขยาย
คำคุณศัพท์และคำวิเศษณ์เป็นคำบรรยายที่ “ขยายความหมายของคำที่ถูกขยายความ”[6] ใน โรม 12:1 คำว่า เครื่องบูชา มีคำขยายความหลายคำ
เครื่องบูชาของเรา มีชีวิต เราไม่ได้ถวายเครื่องบูชาที่เป็นสัตว์ที่ตายแล้วอีกต่อไป เราถวายชีวิตของเราด้วยการยอมจำนนในทุกๆ วัน
เครื่องบูชาของเราต้อง บริสุทธิ์ ผู้นมัสการในพันธสัญญาเดิมไม่สามารถนำสัตว์พิการหรือบาดเจ็บมาเป็นเครื่องบูชาได้ ผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่ก็ไม่สามารถถวายเครื่องบูชาเป็นชีวิตที่ไม่บริสุทธิ์และไม่เชื่อฟังได้
มีเพียงเครื่องบูชาที่สมบูรณ์และเต็มใจเท่านั้นที่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
บุพบทวลี
คำบุพบทได้แก่คำจำพวก ใน บน เหนือ ผ่านทาง ถึง แด่ และ โดย คำเล็กน้อยเหล่านี้มีความหมายอย่างมาก ใน โรม 12:1 มีบุพบทวลีสองกลุ่มคำที่สำคัญ
“โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า” ทำให้เรารู้ถึงเหตุผลสำหรับการร้องขอของเปาโล นี่ไม่ใช่การยอมจำนนอย่างไม่เต็มใจของทหารต่อศัตรู แต่เป็นการยอมจำนนด้วยความยินดีของลูกต่อความประสงค์ของบิดาผู้เป็นที่รัก
เครื่องบูชาของเราต้องเป็นที่ยอมรับซึ่งเป็นการถวาย “แด่พระองค์ ” สำหรับคริสเตียนแล้ว การเป็นที่ยอมรับต่อพระเจ้าคือรางวัลสูงสุด
คำเชื่อม
คำเชื่อมคำว่า และ หรือ แต่ มีพลังอย่างมาก ผู้เขียนคนหนึ่งเปรียบเทียบคำเชื่อมกับปูนที่ยึดก้อนอิฐเข้าด้วยกัน[7] ใน กิจการ 1:8 เราเห็นคำว่า แต่ ชี้กลับไปที่ความเข้าใจผิดของพวกสาวก
ใน โรม 12:1 คำว่า ดังนั้น ชี้กลับไปที่เนื้อหาตอนก่อนหน้า ถ้าคุณอ่านพระธรรมโรมทั้งเล่ม คุณจะมองเห็นเนื้อหาแบ่งเป็นสองส่วนได้อย่างรวดเร็ว
โรม 1-11 สอนหลักคำสอนต่อไปนี้คือ การลงโทษบาป การเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ การชำระผู้เชื่อให้บริสุทธิ์ การเต็มไปด้วยสง่าราศีที่เป็นวัตถุประสงค์สูงสุดของพระเจ้าสำหรับบรรดาลูกๆ ของพระองค์ และการคัดเลือกซึ่งเป็นวิธีการของพระเจ้าในการทำให้วัตถุประสงค์นี้สำเร็จ
โรม 12-16 แสดงถึงการประยุกต์ใช้หลักคำสอนในทางปฏิบัติ เนื่องจากเราได้รับการทำให้ชอบธรรมต่อพระเจ้า เราจึงดำเนินชีวิตในวิถีนี้ เนื่องจากสิ่งที่เราเชื่อ (โรม 1-11) เราจึงทำสิ่งนี้ (โรม 12-16) ข้อพระคัมภีร์เชื่อมโยงคือ โรม 12:1
เพราะฉะนั้น เป็นเครื่องหมายที่สำคัญในจดหมายหลายฉบับของเปาโล หลังจากเตือนผู้เชื่อชาวกาลาเทียเรื่องความจริงอันยิ่งใหญ่ของการเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อเท่านั้น เปาโลก็เรียกให้พวกเขาดำเนินชีวิตด้วยการปฏิบัติตามความชอบธรรมของตนเป็นประจำทุกวันดังนี้ “เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระคริสต์จึงได้ทรงให้เราเป็นไท เพราะฉะนั้น จงตั้งมั่น” (กาลาเทีย 5:1) หลังจากสอนชาวเอเฟซัสเรื่องหลักคำสอนยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการเป็นผู้ถูกคัดเลือกในพระเยซูคริสต์ เปาโลเรียกให้พวกเขาดำเนินชีวิตสมกับการทรงเรียกดังนี้ “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษโดยเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนพวกท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับการทรงเรียกมานั้น” (เอเฟซัส 4:1) เปาโลบอกชาวโคโลสีว่าพวกเขาตายแล้วและชีวิตของพวกเขาซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า ผลลัพธ์คือพวกเขาควรดำเนินชีวิตแบบไหน? “เพราะฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่าน” (โคโลสี 3:5)
มองหารายละเอียดพิเศษในเนื้อหา[8]
การรับรู้ถึงเทคนิคต่างๆ ที่ผู้เขียนพระคัมภีร์ใช้เพื่อเน้นแนวคิดสำคัญในเนื้อหาย่อมจะให้ความเข้าใจใหม่ๆ แก่การศึกษาของคุณได้ รายละเอียดที่จะมองหาได้แก่สิ่งต่อไปนี้
คำซ้ำ
เมื่อผู้เขียนกล่าวซ้ำคำนั้นบ่อยครั้ง ย่อมเป็นการชี้ให้เห็นถึงแนวคิดสำคัญ ในขั้นตอนการสังเกต คุณอาจไม่ได้ขุดลึกถึงความหมายที่ลึกซึ้งทั้งหมดของคำซ้ำ แต่คุณต้องทำเครื่องหมายที่คำนั้นและถามว่า “ทำไมคำนี้ถึงถูกกล่าวซ้ำๆ?”
► อ่านพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้และทำเครื่องหมายตรงคำซ้ำ
2 โครินธ์ 1:3-7 คำว่า หนุนใจ/การหนุนใจ ถูกกล่าวซ้ำกี่ครั้งในเนื้อหาตอนนี้? ตัวอย่างคำถามที่คุณใช้ถามได้เมื่อสังเกตเห็นคำซ้ำในเนื้อหาตอนนี้
คำว่า หนุนใจ แต่ละครั้งถูกใช้ในรูปแบบเดียวกันไหม? (บางครั้งเป็นคำนาม บางครั้งเป็นคำกริยา)
มีการใช้คำขยายอะไรบ้าง? (การหนุนใจทุกอย่าง; การหนุนใจของเรา; การหนุนใจของพวกท่าน.)
ยอห์น 15:1-10 คำว่า ติดสนิท ถูกกล่าวซ้ำกี่ครั้งในเนื้อหาตอนนี้? ตัวอย่างคำถามที่คุณใช้ถามได้เมื่อสังเกตเห็นคำซ้ำในเนื้อหาตอนนี้
อะไรคือเงื่อนไขในการติดสนิทกับพระองค์?
คำเตือนในเนื้อหาตอนนี้มีความหมายเป็นนัยว่าเป็นไปได้ที่จะไม่ติดสนิทกับพระองค์ใช่ไหม?
อะไรคือผลลัพธ์ของการล้มเหลวที่จะติดสนิทกับพระองค์?
อะไรคือพระพรของการติดสนิทกับพระองค์?
การเปรียบเทียบความแตกต่าง
ผู้เขียนพระคัมภีร์หลายคนใช้การเปรียบเทียบความแตกต่างกับบุคคลหรือแนวคิดต่างๆ เมื่อคุณเห็นคำว่า แต่ อยู่ตรงกลางข้อ นั่นอาจกำลังเชื่อมโยงแนวคิดสองอย่าง สุภาษิตจำนวนมากใช้รูปแบบการเปรียบเทียบนี้
มีการตอบสนองสองวิธีต่อคนที่ติเตียนเรา “คำตอบนุ่มนวลช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ” (สุภาษิต 15:1)
มีวิธีการตัดสินใจเรื่องสำคัญอยู่สองแบบ “เมื่อไม่มีการชี้แนะ ประชาชนก็ล้มลง แต่โดยมีที่ปรึกษามาก ก็มีความปลอดภัย” (สุภาษิต 11:14)
การปฏิบัติของเราต่อคนยากจนเป็นการแสดงถึงท่าทีของเราต่อพระเจ้า “ผู้กดขี่คนยากจนก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา แต่ผู้เมตตาคนขัดสนก็ถวายพระเกียรติแด่พระองค์” (สุภาษิต 14:31)
ผู้เขียนในพันธสัญญาใหม่ก็ใช้การเปรียบเทียบความแตกต่างด้วย เปาโลเปรียบเทียบชีวิตเก่า (ความมืด) กับชีวิตใหม่ (ความสว่าง) ของเราดังนี้ “เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า…” (เอเฟซัส 5:8)
ใน 1 ยอห์น 1:5-7 ยอห์นเปรียบเทียบความแตกต่างของความมืดกับความสว่างในสองลักษณะดังนี้
พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและความมืดในพระองค์ไม่มีเลย
ถ้าเรามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราจะเดินอยู่ในความสว่าง ไม่ใช่ในความมืด
การเปรียบเทียบความเหมือน
การเปรียบเทียบความแตกต่างพิจารณาสิ่งที่ต่างกัน การเปรียบเทียบความเหมือนพิจารณาสิ่งที่เหมือนกัน
“น้ำส้มสายชูกับฟัน และควันกับตา เป็นฉันใด คนเกียจคร้านกับผู้ที่ใช้เขา ก็เป็นฉันนั้น” (สุภาษิต 10:26)
“ข่าวดีจากแดนไกล ก็เหมือนน้ำเย็นที่ให้แก่คนกระหาย” (สุภาษิต 25:25)
► อ่าน ยากอบ 3:3-6 ลิ้นถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับสามสิ่งอะไรบ้าง? คุณเรียนรู้อะไรจากการเปรียบเทียบความเหมือนนี้?
► ในแต่ละข้อของ สุภาษิต 26:7-11 จะมีคำว่า เหมือน ขอให้ศึกษาการเปรียบเทียบความเหมือนในแต่ละข้อ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังพิจารณา สุภาษิต 26:7 คุณอาจพูดกับตัวเองว่า “สุภาษิตที่อยู่ในปากของคนโง่ก็เหมือนขาของคนพิการเพราะ...” คุณเห็นอะไรที่เหมือนกันระหว่างสุภาษิตที่อยู่ในปากของคนโง่กับขาของคนพิการ?
รายการ
เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ คุณควรเน้นรายการและศึกษาคุณลักษณะที่สำคัญของรายการเหล่านั้น
► ก่อนที่จะดำเนินบทเรียนต่อไป ขอให้ใช้เวลาอ่านรายการต่อไปนี้:
ใน 1 โครินธ์ 3:6 เปาโลแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของพันธกิจของเขาในเมืองโครินธ์
1 ยอห์น 2:16 ให้รายการสิ่งต่างๆ ที่มาจากโลกมากกว่าที่จะมาจากพระบิดา
กาลาเทีย 5:19-21 ให้รายการการงานของธรรมชาติบาป
กาลาเทีย 5:22-23 ให้รายการผลของพระวิญญาณ
คำชี้แจงวัตถุประสงค์
คำต่างๆ เช่น ว่า ดังนั้น หรือ เพื่อ มักอธิบายถึงแรงจูงใจในการกระทำหรือผลลัพธ์ของการกระทำนั้น ขอให้ใช้เวลาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์กับผลลัพธ์โดยถามว่าเพราะเหตุใดพระคัมภีร์จึงให้คำสั่งสอนนี้
“ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่าน” (เพราะเหตุใด?) “ให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่” (ยอห์น 15:16)
“ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ” (เพราะเหตุใด?) “เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์” (สดุดี 119:11)
“ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก” (เพราะเหตุใดพระองค์จึงลือกเรา?) “เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์” (เอเฟซัส 1:4)
บางครั้งข้อความนั้นจะแสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์จะบรรลุผลได้อย่างไร
“คนหนุ่มจะรักษาวิถีทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ก็โดยปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์” (สดุดี 119:9)
เราจะมั่นใจได้อย่างไรในเรื่องชีวิต? “ถ้าโดยทางพระวิญญาณ ท่านทำลายกิจการของร่างกาย ท่านก็จะดำรงชีวิตได้” (โรม 8:13)
อนุประโยคที่มีเงื่อนไข
อนุประโยคที่เริ่มต้นด้วย ถ้า มักมีเงื่อนไข บางครั้งผู้อ่านคาดหวังว่าพระสัญญาต่างๆ ในพระคัมภีร์จะสำเร็จได้โดยไม่ต้องทำตามเงื่อนไข อย่างไรก็ตามพระสัญญาที่มีเงื่อนไขนั้นขึ้นอยู่กับการทำตามเงื่อนไขที่ให้ไว้อย่างเจาะจง ซึ่งมักจะเห็นได้จากอนุประโยคที่มีเงื่อนไข
เงื่อนไข: “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์”
ผลลัพธ์: “เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์ 5:17)
เงื่อนไข: “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา”
ผลลัพธ์: “เราจะทำสิ่งนั้น” (ยอห์น 14:14)
อธิษฐานในขณะที่อ่าน
คำแนะนำสุดท้ายนี้อาจดูเข้าใจได้ง่ายแต่มีความสำคัญ สำหรับคริสเตียน การศึกษาพระคัมภีร์และชีวิตแห่งการอธิษฐานต้องไม่แยกออกจากกัน การแยกการอ่านพระคัมภีร์ออกจากการอธิษฐานก็เป็นการแบ่งแยกการสนทนากับพระเจ้าในชีวิตประจำวันออกเป็นสองทิศทาง
ยากอบยืนยันกับเราว่า เมื่อขาดสติปัญญา เราสามารถขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้ “แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” (ยากอบ 1:5) นี่คือพระสัญญาอันอัศจรรย์ในยามที่เราจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อจะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า
สดุดี 119 แสดงการเชื่อมโยงระหว่างการอธิษฐานกับพระคัมภีร์ ผู้เขียนสดุดีขอพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าให้นำเขาในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า ในทำนองเดียวกัน เราก็สามารถขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในขณะที่เราศึกษาพระวจนะได้
“ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเห็น สิ่งอัศจรรย์จากธรรมบัญญัติของพระองค์” (สดุดี 119:18)
“ขอทรงทำให้ข้าพระองค์เข้าใจทางแห่งข้อบังคับของพระองค์” (สดุดี 119:27)
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงสอนทางแห่งกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์” (สดุดี 119:33)
คนมากมายได้เรียนรู้ถึงฤทธิ์อำนาจในการผันถ้อยคำในพระคัมภีร์ให้มาเป็นคำอธิษฐาน ขอให้พยายามผันถ้อยคำจากพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้ให้เป็นคำอธิษฐานส่วนตัว
สดุดี 23 - คำอธิษฐานขอการทรงนำและการปกป้องจากพระเจ้า
อิสยาห์ 40:28-31 - คำอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้า
ฟีลิปปี 4:8-9 - คำอธิษฐานขอให้มีความคิดจิตใจของพระเจ้า

ไฟล์ PDF ของประเด็นสำคัญของทุกบทเรียน
(1) เริ่มต้นกระบวนการสังเกตโดยการศึกษาข้อพระคัมภีร์หนึ่งข้อ ถามคำถามเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์นั้นให้มากที่สุด
(2) ขั้นตอนเพื่อพัฒนาพลังในการสังเกตของคุณให้ดีขึ้นมีดังนี้
(1) เขียนรายการสิ่งที่สังเกตได้จาก โยชูวา 1:8 เขียนข้อพระคัมภีร์ลงในกระดาษแล้วเริ่มถามคำถามว่า “ใคร อะไร เมื่อใด ที่ไหน ทำไม อย่างไร” โดยใช้ตัวอย่างในส่วนสุดท้ายกับแนวทางที่ให้ในบทนี้ ให้สังเกตให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขั้นตอนนี้ คุณไม่ได้ตีความข้อพระคัมภีร์หรือเตรียมโครงร่างคำเทศนา คุณเพียงแค่มองหารายละเอียดในข้อพระคัมภีร์เท่านั้น
(2) เพื่อฝึกปฏิบัติมากขึ้น ขอให้ใช้กระบวนการเดียวกันนี้กับ มัทธิว 28:18-20
SGC exists to equip rising Christian leaders around the world by providing free, high-quality theological resources. We gladly grant permission for you to print and distribute our courses under these simple guidelines:
All materials remain the copyrighted property of Shepherds Global Classroom. We simply ask that you honor the integrity of the content and mission.
Questions? Reach out to us anytime at info@shepherdsglobal.org
Total
$21.99By submitting your contact info, you agree to receive occasional email updates about this ministry.
Download audio files for offline listening
No audio files are available for this course yet.
Check back soon or visit our audio courses page.
Share this free course with others