หลักการแยกไว้เป็นพิเศษในพระคัมภีร์เตรียมคำพยานต่อโลกนี้
พระเยซูอธิษฐานว่าสาวกทั้งหลายของพระองค์จะอยู่ในโลก แต่ไม่เป็นของโลก ดาเนียลปฏิเสธที่จะ “ไม่ทำให้ตัวเป็นมลทินด้วยอาหารชั้นสูงของกษัตริย์ หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์เสวย” ( ดาเนียล 1:8) ตลอดประวัติศาสตร์ คนของพระเจ้าได้สงวนตัวเองไว้โดยการแยกออกจากความบาปในสังคมของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าจึงสามารถให้คนของพระองค์เป็นพยานต่อโลกของพวกเขาได้
อิสราเอลถูกเรียกว่าเป็น “อาณาจักรปุโรหิต” เป็นชนชาติบริสุทธิ์ที่นำชนชาติอื่น ๆ ให้มาหาพระเจ้า (อพยพ 19:6) เมื่ออิสราเอลซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า อิสราเอลก็ได้บรรลุผลภารกิจนี้ ราหับพูดว่า “ความกลัวพวกท่านครอบงำเรา ... เราก็ใจเสีย ไม่มีความกล้าหาญเหลืออยู่ในสักคนหนึ่งเลย” ทำไมหรือ? เพราอิสราเอลเป็นชนชาติยิ่งใหญ่ที่มีกองทัพเข้มแข็งหรือ? ไม่ใช่เลย แต่เพราะ “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง” (โยชูวา 2:9-11) เมื่ออิสราเอลถูกแยกไว้เป็นพิเศษสำหรับพระเจ้า อิสราเอลก็เป็นพยานต่อทุกชนชาติ
เราเห็นหลักการนี้ในชีวิตของโยเซฟ เพราะโยเซฟสงวนตัวเองโดยแยกออกจากความบาปของคนอียิปต์ เขากลายเป็นคำพยานต่อฟาโรห์ “พวกเราจะหาคนที่มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัวเหมือนคนนี้ได้หรือ?” (ปฐมกาล 41:38) ถ้าหากโยเซฟใช้ชีวิตเหมือนคนอียิปต์ เขาก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นพยานต่อฟาโรห์
พระเยซูอธิษฐานว่าพวกสาวกของพระองค์จะอยู่ในโลก แต่ไม่ได้เป็นของโลก บางครั้งวลีนี้ถูกเข้าใจผิดจากคริสเตียนที่ปรารถนาใช้ชีวิตในทางพระเจ้าและระมัดระวัง พวกเขาคิดผิดว่าการ “อยู่ในโลก” คือความชั่วร้ายที่จำเป็นต้องมีซึ่งคนของพระเจ้าต้องอดทนระหว่างการเดินทางไปสวรรค์
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พระเยซูชื่นชมว่าพวกสาวกของพระองค์ “ไม่ได้เป็นของโลก” พระเยซูอธิษฐานว่า “พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น” (ยอห์น 17:16-18) พระเยซูอธิษฐานว่าพวกสาวกของพระองค์จะรับใช้อย่างเกิดผลในโลกนี้ พระเยซูอธิษฐานว่าเราจะไม่เป็น “ของโลกนี้” ในขณะที่เรากำลังถูกส่ง “เข้าไปในโลก” โดยการแยกออกจากความบาป เราสามารถทำให้การทรงเรียกของเราเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้สำเร็จได้ ในฐานะลูกของพระเจ้า เราสามารถเป็นเกลือและแสงสว่างต่อโลกที่เต็มไปด้วยความบาปนี้
พวกอัครทูตรู้ว่าชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นคำพยานต่อโลกนี้ เปโตรเรียกให้ผู้เชื่อทั้งหลายใช้ชีวิตในทางของพระเจ้าเพื่อเป็นพยานให้กับคนที่ไม่เชื่อ
“จงรักษาความประพฤติอันดีของพวกท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อพวกเขาใส่ร้ายพวกท่านว่าประพฤติชั่ว พวกเขาจะได้เห็นคุณความดีของพวกท่าน และจะได้สรรเสริญพระเจ้าในวันที่พระองค์เสด็จมาเยือน” (1 เปโตร 2:12)
เปาโลเขียนจดหมายถึงทิตัส ผู้นำคริสตจักรบนเกาะครีต ผู้เชื่อเหล่านี้ถูกแวดล้อมด้วยคนต่างศาสนา เปาโลบอกทิตัสว่าคริสเตียนต้องใช้ชีวิต “เพื่อเขาทั้งหลายจะเทิดพระเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเราในทุกๆ ด้าน” (ทิตัส 2:10) ในฐานะคริสเตียนที่ใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ พฤติกรรมของพวกเขาจะทำให้พระกิตติคุณมี “คุณค่า” พฤติกรรมของคนที่บริสุทธิ์จะทำให้พระกิตติคุณดึงดูดใจผู้คนในโลกของเรา
เปาโลเรียกคริสเตียนที่เมืองฟิลิปปีให้ใช้ชีวิตอยู่ในทางของพระเจ้า พวกเขาต้องคงอยู่ในการแยกออกจากความบาป พวกเขาต้องเป็นคนที่ “ไม่มีที่ติและไร้ความผิด เป็นบุตรของพระเจ้าที่ปราศจากตำหนิท่ามกลางชนชาติที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆ ในโลก” (ฟิลิปปี 2:15)
ในฐานะคนของพระเจ้าที่ใช้ชีวิตบริสุทธิ์ เรา “ส่องสว่างดุจดวงสว่างในโลกนี้” ชีวิตของลูกของพระเจ้าควรเป็นคำพยานที่สว่างไสวในท่ามกลางโลกที่มืดมิด การแยกออกจากความบาปไม่ได้เป็นการพยายาม “ทำเพื่อให้ได้ความรอด” การแยกออกจากความบาปทำให้เราสามารถบรรลุผลสำเร็จในการทรงเรียกของพระเยซูเพื่อเป็น “แสงสว่างของโลกนี้” และ “เป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก” (มัทธิว 5:13-14) มือที่บริสุทธิ์เป็นคำพยานอันทรงพลังต่อโลกของเรา
หลักการพระคัมภีร์เรื่องการแยกไว้เป็นพิเศษ
สำหรับคนมากมายแล้ว “การแยกออกจากโลกนี้” คือรายการสิ่งที่ต้องทำและต้องไม่ทำ บ่อยครั้งการแยกไว้เป็นพิเศษได้รับคำนิยามว่าเป็นกฎต่าง ๆ คนมากมายให้คำนิยามการแยกไว้เป็นพิเศษว่าเป็นเสื้อผ้าที่พวกเขาจะไม่สวมใส่ สถานที่ที่พวกเขาจะไม่ไป และความบันเทิงต่าง ๆ ที่พวกเขาจะไม่เข้าร่วม
จริงอยู่ที่คนบริสุทธิ์จะไม่สวมใส่บางสิ่งหรือไม่ไปในบางสถานที่ คนบริสุทธิ์ต้องการทำให้พระเจ้าพอพระทัยในทุกด้านของชีวิต อย่างไรก็ตามการแยกออกจากความบาปและแยกไว้เป็นพิเศษสำหรับพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่กฎต่างๆ เท่านั้น
ปัญหาอย่างหนึ่งในการให้คำนิยามสำหรับการแยกไว้เป็นพิเศษว่าเป็นเพียงกฎต่าง ๆ คือ กฎย่อมจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาโดยให้เหตุผลอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นเพียงเล็กน้อย คริสตจักรแห่งหนึ่งกำหนดว่าการแยกไว้เป็นพิเศษของคริสตจักรคือการทำตามกฎอย่างหนึ่ง อีกคริสตจักรกำหนดว่าการแยกไว้เป็นพิเศษของคริสตจักรของการทำตามกฎอีกอย่างหนึ่ง ดีที่สุดคือการให้คำนิยามตามหลักการพระคัมภีร์ที่เป็นจริงทุกเวลา และเหมาะสมสำหรับทุกวัฒนธรรม
ในฐานะคริสเตียน รูปแบบชีวิตของเราควรสะท้อนถึงการยอมอยู่ภายใต้พระวจนะของพระเจ้าและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา ถ้าหากเราแสวงหาที่จะเป็นคนที่แยกไว้เป็นพิเศษสำหรับพระเจ้า เป็น “ประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า” (1 เปโตร 2:9) เราจะเต็มใจเชื่อฟังคำสอนจากพระวจนะของพระองค์
ในขณะที่พระคัมภีร์ไม่ได้พูดตรง ๆ เกี่ยวกับชีวิตในสมัยใหม่ แต่พระคัมภีร์ให้หลักการที่ชี้นำเราได้ หลักการอะไรที่ชี้นำถึงรูปแบบชีวิตของคนบริสุทธิ์?
(1) หลักแห่งความสุภาพ
หลักแห่งความสุภาพยืนยันว่าการแต่งกายและพฤติกรรมของเราต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้าและต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่น่าละอายในสายตาของพระองค์ การแต่งกายและพฤติกรรมของเราได้รับการชี้นำโดยความปรารถนาที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ตลอดทั้งพระคัมภีร์ การเปลือยกาย เป็นสิ่งที่น่าอับอาย หลังจากที่อาดัมและเอวาทำบาป พวกเขาเกิดความอับอายเพราะ “รู้ว่าพวกเขาเปลือยกายอยู่” (ปฐมกาล 3:7) ดังนั้นพวกเขาจึง “เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดกายไว้” เมื่อพระเจ้าพบพวกเขาในสวน พระองค์ทำให้สมบูรณ์มากขึ้นโดยการ “ทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย” (ปฐมกาล 3:21)
ตลอดพระคัมภีร์ส่วนที่เหลือทั้งหมด การเปลือยกายจึงเป็นสัญลักษณ์ของความอับอาย (ยกตัวอย่าง การเปลือยกายเป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษาของพระเจ้า (โฮเชยา 2:3; เอเสเคียล23:29)) ผู้เผยพระวจนะใช้การเปลือยการเป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษาของพระเจ้า (อิสยาห์ 20:1-4; โฮเชยา 2:3; เอเสเคียล 23:29) ในฐานะคนของพระเจ้า เสื้อผ้าของเราควรแสดงให้เห็นว่าเราให้เกียรติต่อมาตรฐานของพระเจ้าเรื่องความสุภาพ เราควรอับอายต่อการเปลือยกายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอับอายสำหรับพวกผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เสื้อผ้าของเราควรเป็นตัวแทนที่แสดงให้เห็นความเป็นคนบริสุทธิ์หมดจดของพระเจ้า
ความสุภาพในพระคัมภีร์ยังรวมถึงความแตกต่างระหว่างเพศ ในขณะที่พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุถึงเสื้อผ้าอย่างเจาะจงที่อิสราเอลสวมใส่ แต่พระเจ้าสั่งให้คนของพระองค์รักษาความแตกต่างระหว่างเพศในการแต่งกายของพวกเขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 22:5)
พันธสัญญาใหม่สอนว่าเครื่องประดับ ของเราต้องแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคนของพระเจ้า เปาโลเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของเครื่องประดับสองประเภทคือ...
“ส่วนพวกผู้หญิงก็เหมือนกัน ควรแต่งกายให้สุภาพด้วยความเหมาะสม และพอเหมาะพอควร ไม่ต้องถักผมหรือประดับกาย[1] ด้วยทองคำ ไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพง แต่ประดับด้วยการทำดี สมกับเป็นหญิงที่ประกาศตนว่านมัสการพระเจ้า” (1 ทิโมธี 2:9-10)
เปาโลห้ามไม่ให้มีการประดับกายด้วยเสื้อผ้าหรือทำทรงผมที่ตกแต่งด้วยเพชรพลอยเพื่อโอ้อวด แต่เปาโลชื่นชมเครื่องประดับที่เป็น “อาภรณ์แห่งความเคารพนอบน้อม” ซึ่ง “สมกับเป็นหญิงที่ประกาศตนว่านมัสการพระเจ้า” นี่คือเครื่องประดับที่เป็น “การดี” ที่คริสเตียนควรแสวงหาเพื่อจะประดับ
คำสอนของเปาโลแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการประดับกายภายนอกกับการประดับวิญญาณภายใน ในตอนนี้ของจดหมายที่เปาโลเขียนถึงทิโมธี เขาพูดถึงคำอธิษฐานในคริสตจักร เขาบอกทิโมธีถึงวิธีการที่คริสเตียนควรอธิษฐาน เขากล่าวถึงความห่วงใยเรื่องเพศสภาพ
เปาโลเขียนว่าผู้ชายควรอธิษฐาน “โดยปราศจากความโกรธและการทะเลาะวิวาท” เราต้องไม่เข้าไปในการทรงสถิตของพระเจ้าด้วยวิญญาณแห่งความโกรธ เปาโลเขียนว่าผู้หญิงควรอธิษฐานด้วยวิญญาณที่อ่อนสุภาพและยอมเชื่อฟัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านการแต่งกายและการประดับกายด้วย เราต้องไม่เข้าไปในการทรงสถิตของพระเจ้าด้วยความหยิ่งและหาเกียรติเข้าหาตัวเอง คนบริสุทธิ์มีความสุภาพที่สะท้อนออกมาให้เห็นในทุกด้านของชีวิต
เปโตรพูดถึงความสัมพันธ์อย่างเดียวกันระหว่างการประดับกายภายนอกกับการประดับวิญญาณภายใน
“อย่าประดับตัวแต่ภายนอก ด้วยการถักผม การสวมใส่เครื่องทอง หรือการนุ่งห่มเสื้อผ้า แต่จงประดับด้วยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในใจ ด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตใจที่สงบ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า เพราะว่าบรรดาสตรีผู้บริสุทธิ์ในสมัยก่อนนั้น ผู้ซึ่งหวังในพระเจ้า ก็ได้ประดับกายโดยยอมเชื่อฟังสามีของตน….” (1 เปโตร 3:3-5)
เหมือนกันกับเปาโล เปโตรระบุถึงเครื่องประดับสองประเภท เขาห้ามไม่ให้แต่งกายภายนอก ด้วยเสื้อผ้าและตกแต่งทรงผมด้วยเพชรพลอยเพื่อเป็นการโอ้อวด จากนั้นเขาสั่งให้ประดับภายในด้วย “จิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตใจที่สงบ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า” คนบริสุทธิ์ใส่ใจกับ “สิ่งล้ำค่าในสายตาของพระเจ้า” มากกว่าการยอมรับจากโลกนี้ นี่คือวิธีการที่ “สตรีผู้บริสุทธิ์ ผู้ซึ่งหวังในพระเจ้า ใช้เพื่อประดับตนเอง”
ในฐานะคริสเตียน สิ่งบันเทิง ของเราควรแสดงให้เห็นถึงการแยกไว้เป็นพิเศษสำหรับพระเจ้า เปาโลบอกเราว่า คริสเตียนควรให้ความคิดจิตใจเต็มไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น
“สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ รวมทั้งถ้ามีสิ่งใดที่ยอดเยี่ยม สิ่งใดที่น่ายกย่อง” (ฟิลิปปี 4:8)
ในฐานะคนบริสุทธิ์ พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกด้านของชีวิต เมื่อคุณอ่านเลวีนิติ คุณจะเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เล็กเกินจนพระเจ้าไม่สนใจ ทุกสิ่งมีความหมายต่อพระองค์ นี่ไม่ใช่ เพราะพระเจ้าเป็นนักเผด็จการที่อยากควบคุมทุกด้านในชีวิตของเรา แต่เพราะพระเจ้าเป็นพระบิดาที่รักเรา พระองค์ห่วงใยทุกด้านในชีวิตของลูกของพระองค์ พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ต้องการให้ลูกของพระองค์สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำลายศักดิ์ศรีของร่างกายที่พระองค์สร้างขึ้นมาด้วยความรักนี้ พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ต้องการให้ลูกของพระองค์มีความคิดจิตใจที่เต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงที่กระตุ้นให้ทำบาปและความคิดที่น่าอับอาย เราเป็น “กรรมสิทธิ์ของพระองค์” และพระองค์ห่วงใยทุกด้านในชีวิตของเรา
► ประยุกต์ใช้หลักแห่งความสุภาพกับวัฒนธรรมของคุณ ด้านใด (ทั้งการแต่งกายและรูปแบบชีวิต) ที่ท้าทายต่อการรักษาความสุภาพในโลกที่คุณอาศัยอยู่?
(2) หลักแห่งการอารักขา
หลักแห่งการอารักขายืนยันว่าทุกสิ่งที่เรามีล้วนเป็นของพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้า เราจะใช้เงินและทรัพยากรของเราในทางที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
ในศตวรรษที่สิบแปด มีคริสเตียนบางคนปฏิบัติตามระเบียบการแต่งกายที่เข้มงวด พวกเขาปฏิเสธการตกแต่งเสื้อผ้าด้วยสิ่งต่าง ๆ พวกเขาไม่ใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นเงาเลื่อม ผู้ชายไม่ผูกเน็คไท พวกเขาใส่เสื้อผ้าที่เป็นสีเทาเท่านั้น เครื่องนุ่งห่มของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสุภาพมาก
อย่างไรก็ตาม จอห์น เวสเลย์ ได้เทศนาเรื่องการแต่งกายโดยที่บ่นว่าเสื้อผ้าที่ดูสุภาพนี้เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น แม้เสื้อผ้าจะดูเรียบง่าย แต่ คริสเตียนบางคนกลับไม่ใส่ใจต่อหลักแห่งการอารักขา พวกเขาจะเดินทางจากลอนดอนไปปารีสเพื่อซื้อวัตถุดิบที่แพงที่สุดมาทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ จริงอยู่ที่พวกเขาซื้อแต่สีเทา แต่พวกเขาซื้อเสื้อผ้าราคาแพงเพื่อบอกถึงความมั่งคั่ง พวกเขาสุภาพ แต่ไม่ได้เป็นผู้อารักขาที่ดีสำหรับเงินของพระเจ้า[2]
เวสเลย์คัดค้านว่าการแยกออกจากโลกนี้คือการเป็นผู้อารักขาที่ดีสำหรับเงินที่พระเจ้ามอบให้เรา เขาเทศนาว่าคนบริสุทธิ์ไม่ควรสิ้นเปลืองเงินไปกับเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง เป็นไปได้ที่จะสวมใส่เสื้อผ้าที่สุภาพแต่ต้องไม่สิ้นเปลือง เปาโลกล่าวว่าการประดับกายของเราต้องไม่ใช่ด้วย “เสื้อผ้าราคาแพง” (1 ทิโมธี 2:9)
หลักแห่งการอารักขาไม่ใช่การที่จะต้องซื้อของราคาถูกเสมอไป บางครั้งเสื้อผ้าคุณภาพดีที่ราคาแพงกว่าแต่ใส่ได้ทนนานกว่า บางคริสตจักรยอมประหยัดเงิน 100 เหรียญเพื่อติดตั้งระบบน้ำประปา จากนั้นต้องจ่ายเงินหลายร้อยเหรียญเพื่อซ่อมประปาที่รั่ว แบบนั้นก็เป็นผู้อารักขาที่แย่มาก
หลักแห่งการอารักขากล่าวว่า “เราเป็นผู้อารักขาเงินที่พระเจ้ามอบไว้ให้แก่เรา เราต้องใช้อย่างฉลาด เราเป็นผู้อารักขาความสามารถที่พระเจ้ามอบให้แก่เรา เราต้องใช้เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า ทุกสิ่งที่เราทำต้องถวายเกียรติแด่พระองค์”
► ประยุกต์ใช้หลักแห่งการอารักขานี้กับวัฒนธรรมของคุณ คริสตจักรของคุณจะเป็นผู้อารักขาที่ดีสำหรับทรัพยากรที่พระเจ้าให้ไว้ได้อย่างไร?
(3) หลักแห่งความพอประมาณ
หลักแห่งความพอประมาณยืนยันว่าเราจะไม่ยอมให้ “สิ่งต่าง ๆ” (แม้แต่สิ่งที่ดี) มาควบคุมชีวิตของเรา สิ่งหนึ่งที่ท้าทายสำหรับการมีชีวิตอยู่ “ใน” แต่ไม่ได้เป็น “ของ” โลก คือการที่เราก็ยังอยู่ในโลก! มีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกของเราที่เราสามารถและควรชื่นชม ชีวิตบริสุทธิ์จำเป็นต้องรู้จักพอประมาณหรือมีอย่างพอเหมาะแม้กับสิ่งดีต่าง ๆ ก็ตาม
อาหารคือหนึ่งตัวอย่าง ความหิวเป็นอาการของความอยากตามธรรมชาติ ไม่ได้เป็นความบาป เปาโลเขียนว่าเราควรกินเพื่อ “ถวายเกียรติแด่พระเจ้า” (1 โครินธ์ 10:31) การกินไม่ใช่บาป แต่ถ้าหากผมเป็นคนตะกละที่ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ผมก็ไม่ได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า โลกนี้กินเพื่อความจุใจของตัวเอง ถ้าหากผมไม่รู้จักพอประมาณในการกิน ผมก็เป็น “ของโลก” แทนที่จะกินเพื่อ “ถวายเกียรติแด่พระเจ้า” นี่หมายความว่าผมจะฝึกควบคุมตัวเองในขณะที่กินอาหารอร่อยที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ผม
ชาวโครินธ์คัดค้านว่าพวกเขาไม่สามารถทำบาปทางเพศได้ เพราะพวกเขาเป็นลูกฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าและร่างกายนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขาพูดว่า “อาหารมีไว้สำหรับท้องและท้องมีไว้สำหรับอาหาร” พวกเขามีแนวคิดนี้จากวัฒนธรรมของพวกเขาว่าร่างกายได้รับอนุญาตให้มีสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ
เปาโลตอบสนองโดยการอ้างคำสอนของชาวโครินธ์ และปฏิเสธแนวคิดผิด ๆ ที่อยู่เบื้องหลังคำสอนนั้น “‘ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้’ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้” แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย ‘ อาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็สำหรับอาหาร’ แต่พระเจ้าจะทรงให้ทั้งท้องและอาหารสูญสิ้นไป ” (1 โครินธ์ 6:12-20) เขาพูดต่อว่า “พวกท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระคริสต์” เปาโลสรุปว่า “ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง? เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง ฉะนั้น จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของพวกท่านเถิด”
หลักการของเปาโลคือ แม้สิ่งต่าง ๆ ที่ทำได้ก็ต้องไม่ให้มาควบคุมเรา พระเจ้ามีสิทธิอำนาจเหนือทุกด้านในชีวิตของคริสเตียน แม้แต่เหนือร่างกายของเรา ทุกสิ่ง ที่เราทำต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า สิ่งนี้เรียกร้องให้เราดำเนินชีวิตโดยรู้จักพอประมาณและควบคุมตัวเอง
ในชีวิตประจำวันสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในลักษณะไหน? สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการควบคุมตัวเองในการกินและดื่ม ควบคุมตัวเองต่อความบันเทิง ในฐานะคนบริสุทธิ์ ผม “จะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย” แม้แต่ความบันเทิงที่ไม่มีพิษภัยใด ๆ ก็จะผิด (สำหรับผม) ถ้าหากมันมีอำนาจเหนือผม หลักแห่งความพอประมาณสอนให้เรารู้จักควบคุมตัวเองในทุกด้าน
ผมขอยกตัวอย่างส่วนตัวสักตัวอย่างหนึ่ง ขอให้เข้าใจว่านี่ไม่ใช่กฎที่คุณจะต้องทำตาม ผมใช้ตัวอย่างนี้เพื่อแสดงให้เห็นวิธีที่หลักการเหล่านี้สัมพันธ์กันกับจุดอ่อนและบุคลิกลักษณะของบุคคล
ผมซื้อคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่งที่มีเกมส์ชื่อว่า “เททริส” เกมส์นี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้เป็นเกมส์ที่ฆ่าฟันรุนแรง มันเป็นเกมส์ต่อภาพง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักผมรู้ตัวว่าเกมส์นี้ได้ “ครอบงำ” ผมแล้ว ผมจะนั่งลงทำงาน แป๊บเดียวผมก็จะหันไปเล่นเกมส์ ผมจะพูดว่า “ผมขอพักจากทำงานสักหน่อยเพื่อเล่นเกมส์เททริส” สามสิบนาทีต่อมาผมก็จะพูดว่า “ผมขอเอาชนะอีกสักเกมส์” หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ยังเล่นเกมส์อยู่ ในที่สุดพระเจ้าเตือนผมให้คิดถึงหลักแห่งความพอประมาณ “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้ แต่ข้าพเจ้าจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย”
เพราะเหตุนี้เอง ผมจึงเรียนรู้ว่าผมต้องลบเกมส์เททริสออกจากคอมพิวเตอร์ นี่คือ “กฎ” ตามหลักการพระคัมภีร์ใช่ไหม? ไม่ใช่เลยครับ พระคัมภีร์ไม่ได้มีคำว่าเททริสตรงไหนเลย แต่สำหรับผมแล้ว หลักแห่งความพอประมาณหมายถึงการหลีกหนีจากเกมส์ที่ควบคุมชีวิตของผม
หลักการนั้นกว้างกว่ากฎ ไม่มีคำสอนในพระคัมภีร์ที่คัดค้านเกมส์เททริส ถ้าหากคุณชอบเล่นเกมส์นี้ คุณไม่จำเป็นต้องเลิกเพราะผมเลิก แต่สำหรับผมแล้ว เกมส์นี้กลายเป็นกับดักเพราะผมมีจุดอ่อนในเรื่องนี้ ถ้าหากเราอยากมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เราจะถามพระเจ้าว่า “ลูกดำเนินชีวิตในทางที่พระองค์พอพระทัยได้อย่างไร?”
► นำหลักแห่งการพอประมาณนี้มาประยุกต์ใช้กับวัฒนธรรมของคุณ ด้านใดที่เป็นความท้าทายในการรักษาหลักการพระคัมภีร์อย่างสมดุลในชีวิตของคุณ?
(4) หลักแห่งความเหมาะสม
เมื่อทิโมธี ผู้มีบิดาเป็นคนกรีกและมารดาเป็นคนยิว ได้ร่วมเดินทางไปทำพันธกิจกับเปาโลและสิลาส เปาโลร้องขอให้ทิโมธีเข้าสุหนัตเพื่อเห็นแก่งานพันธกิจ (กิจการ 16:3) ก่อนหน้านี้ เปาโลปฏิเสธที่จะให้ทิตัสซึ่งเป็นคนกรีกที่กลับใจมาเชื่อเข้าสุหนัต (กาลาเทีย 2:3) การตอบสนองที่ไม่เหมือนกันของเปาโลต่อสถานการณ์เหล่านี้สอนหลักการที่สำคัญสำหรับการทำพันธกิจ
ในกรณีของทิตัสเปาโลยืนหยัดบนพื้นฐานความจริงว่าเราได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ การร้องขอให้คนต่างชาติที่กลับใจมาเชื่อทำตามกฎบัญญัติของยิวเป็นการทำลายคำสอนเรื่องเสรีภาพของคริสเตียน เปาโลยืนหยัดคัดค้านคนที่ต้องการให้ทิตัสเข้าสุหนัต (กาลาเทีย 2:1-6) ในกิจการบทที่ 15 คริสตจักรที่เยรูซาเล็มยอมรับว่าการเข้าสุหนัตไม่จำเป็นต่อคนต่างชาติที่กลับใจมาเชื่อ
ในกิจการบทที่ 16 เปาโลขอให้ทิโมธีเข้าสุหนัต ทำไมหรือ? ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่ความรอด แต่เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ในงานพันธกิจที่ธรรมศาลา
► อ่าน 1 โครินธ์ 9:19-23
เปาโลยกภาพเพื่ออธิบายถึงหลักการเดียวกันนี้ในโครินธ์ เพื่อผลประโยชน์ของข่าวประเสริฐ เปาโลเต็มใจสละส่วนต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันกับหลักการพระคัมภีร์ เขาไม่ประนีประนอมกับความเชื่อมั่นในหลักการพระคัมภีร์ แต่เขายอมสละเสรีภาพเพื่อเห็นแก่งานพันธกิจ
สิ่งนี้ให้หลักการที่สำคัญสำหรับคริสเตียน บางสิ่งอาจเหมาะสมกับสถานการณ์หนึ่งแต่ไม่เหมาะสมกับอีกสถานการณ์หนึ่ง เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของงานพันธกิจ ผู้นำอาจต้องยอมสละ “เสรีภาพ” บางอย่างที่ไม่ขัดต่อความเชื่อมั่นของตัวเองในเรื่องส่วนตัวและการปฏิบัติตามวัฒนธรรม ไม่ใช่ความเชื่อมั่นในคำสอนตามหลักการพระคัมภีร์
แกรี่เป็นมิชชันนารีในแอฟริกา แกรี่มีหนวดเคราเต็มไปหมด ในประเทศของเขา หนวดเคราเป็นสัญลักษณ์ที่บอกถึงความมีอายุและสิทธิอำนาจ หัวหน้าเผ่ามักจะไว้เครายาว หนวดเคราของแกรี่ทำให้เขาเป็นที่เคารพในหมู่คนที่เขาพยายามเข้าถึงเพื่อข่าวประเสริฐ เขาไว้หนวดเคราโดยใช้หลักแห่งความเหมาะสม
ริคเป็นมิชชันนารีในเอเชีย ในประเทศของริค หนวดเคราเป็นสัญลักษณ์ภายนอกที่บอกถึงความสะเพร่าและไม่เอาใจใส่ หลังจากย้ายไปที่ประเทศนี้ไม่นาน ริคสังเกตเห็นว่าหนวดเคราของเขาเป็นอุปสรรคต่อการเกิดผล เขาจึงโกนหนวดเคราโดยใช้หลักแห่งความเหมาะสม
สรุปแล้วการมีหรือไม่มีหนวดเคราผิดไหม? ไม่เลย! มิชชันนารีทั้งสองคนนี้เรียนรู้ที่จะทำตามหลักแห่งความเหมาะสมคือ รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าให้ฉันอยู่?
► คุณพบด้านไหนบ้างที่หลักแห่งความเหมาะสมเรียกร้องให้คุณเสียสละเสรีภาพส่วนตัวเพื่อเข้าถึงผู้คนรอบตัวเพื่อพระคริสต์?
(5) หลักแห่งความรับผิดชอบ: ฉันต้องให้คำตอบใคร?
ผมมักจะถามนักศึกษาในวิทยาลัยที่ผมสอนว่า“พวกเธอชอบให้มีกฎหรือหลักการอยู่ในคู่มือหอพักนักศึกษา?” พวกเขาตอบเสมอว่า “เราชอบหลักการ”
ผมก็จะถามต่อว่า “อันไหนปฏิบัติตามง่ายกว่ากัน ระหว่างกฎที่บอกว่า “ไฟฟ้าจะต้องดับตอนเที่ยงคืน” หรือหลักการที่บอกว่า “พวกเธอกำลังเตรียมตัวเพื่องานพันธกิจ ดังนั้นจึงควรเข้านอนเร็วเพื่อจะพักผ่อนอย่างเต็มที่ และพร้อมที่จะจดจ่อกับการเรียนในชั้นเรียนตอนเช้า”? ไม่นานนัก พวกนักศึกษาก็ตระหนักว่าหลักการนั้นเรียกร้องให้เราคิดมากกว่ากฎธรรมดา
หลักการอาจทำได้ยาก หนึ่งในสิ่งสำคัญหลายอย่างคือการตระหนักว่า เราต้องให้คำตอบกับพระเจ้าเกี่ยวกับการแยกไว้เป็นพิเศษ คุณไม่สามารถใช้กฎที่บอกว่า “กินอาหารจำนวน___ กรัมเพียงพอต่อหนึ่งวัน ถ้ากินมากกว่านั้นเป็นความตะกละ” มันเป็นไปไม่ได้! แทนที่จะบอกแบบนั้น ผมต้องระลึกว่าผมมีความรับผิดชอบต่อพระเจ้าในเรื่องการบังคับตัวเอง
คนหนึ่งจะทำงานในสำนักงานแห่งหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องสวมใส่เสื้อสูทดูดี แต่อีกคนหนึ่งจะกลายเป็นผู้อารักขาที่แย่หากเขาเอาเสื้อสูทดูดีไปใส่ทำนา!
พระเจ้าจะให้ความเชื่อมั่นที่แตกต่างกันกับแต่ละคนเกี่ยวกับการจัดการในพันธกิจของพวกเขา เกี่ยวกับภูมิหลัง และแม้แต่เกี่ยวกับความบาปที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ เราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราทุกคนจะไม่เหมือนกัน พี่น้องของเราอาจมีความเชื่อมั่นในรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างออกไป ตราบใดที่ความแตกต่างนี้ไม่ขัดแย้งกับคำสอนตามพระคัมภีร์ ความแตกต่างเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของเสรีภาพตามหลักการพระคัมภีร์ได้
ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงต้องจดจำสองสิ่งไว้
1. ฉันต้องไม่ตัดสินใครถึงสิ่งในใจของพวกเขา พวกเขาต้องให้คำตอบกับพระเจ้าเกี่ยวกับการแยกออกจากโลกนี้ (โรม 14:4)
2. ฉันต้องตัดสินให้รอบคอบต่อสิ่งที่อยู่ในใจของฉันเอง ฉันต้องให้คำตอบกับพระเจ้าเกี่ยวกับการแยกออกจากโลกนี้
[1] คำว่า “ถักผม” บางครั้งทำให้ผู้อ่านสับสน ทรงผมสะดุดตาในสมัยของเปาโลรวมถึงการถักผมที่ใช้เครื่องประดับหรูหรา หลักการของเขาคือ “ผู้หญิงควรประดับด้วยความสุภาพ ไม่ใช่ด้วยเครื่องประดับหรูหราเพื่อโอ้อวด”
[2] จอห์น เวสเลย์ (John Wesley), “การแต่งกาย” จาก การงานต่าง ๆ ของจอห์น เวสเลย์ (
The Works of John Wesley ), (Grand Rapids: Baker Books, 1996)
Previous
Next