เราจะได้รับการทำให้เป็นเหมือนพระคริสต์ได้อย่างไร? คุณในฐานะผู้เชื่อจะปรารถนาได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมที่เป็นของประทานอันดีเลิศนี้ได้อย่างไร? อะไรคือเส้นทางไปสู่ใจบริสุทธิ์?
เราไม่จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อจะค้นหาเส้นทางสู่ความบริสุทธิ์ พระวจนะของพระเจ้าสำแดงเส้นทางสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์ให้กับเรา
เริ่มต้นด้วยการชำระให้บริสุทธิ์
ตั้งแต่วินาทีที่คุณบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่ในคุณแล้ว (โรม 8:1-2, 9-11) ในชั่วพริบตา คุณย้ายออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่าง จากจุดนั้นเป็นต้นมา พันธสัญญาใหม่อธิบายถึงคุณว่าเป็น “ธรรมมิกชน”
ถึงแม้ว่าคุณจะยังคงต่อสู้เพื่อเอาชนะการทดลอง แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานชัยชนะเหนือการตั้งใจทำบาปแก่คุณทุก ๆ วัน ผู้คนรอบข้างคุณจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณดำเนินชีวิตใหม่ในพระคริสต์ จงร่าเริงยินดีในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำเพื่อคุณแล้ว!
เติบโตขึ้นในการชำระให้บริสุทธิ์
เมื่อคุณติดตามพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเปลี่ยนแปลงภายในวิญญาณจิตของคุณ เมื่อคุณ “เดินไปกับพระวิญญาณ” คุณก็ไม่ “ตอบสนองความต้องการของเนื้อหนัง” อีกต่อไป (กาลาเทีย 5:16) การทดลองเดิม ๆ จะสูญเสียอำนาจในการควบคุมคุณ การเชื่อฟังพระเจ้านำคุณให้มีความยินดีอย่างไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม คุณเห็นด้านต่าง ๆ ที่ต้องต่อสู้เอาชนะ คุณเชื่อฟังพระเจ้าแต่ก็มีบางครั้งที่มีการต่อสู้กันระหว่างคำสั่งของพระเจ้ากับความปรารถนาของคุณ มีการต่อสู้กันระหว่างคำสั่งของพระเจ้ากับความตั้งใจที่เห็นแก่ตัวของคุณ คุณพบว่ามันยากที่จะรักพระเจ้าสุดหัวใจและรักเพื่อนบ้านของคุณ คุณเริ่มต้นตระหนักว่าคุณมี “ใจโลเล”
ใจที่บริสุทธิ์หมดจด
เมื่อพระเจ้าเปิดเผยด้านที่คุณจำเป็นต้องได้รับการชำระให้สะอาดในระดับที่ลึกยิ่งขึ้น คุณจะเริ่มต้นหิวกระหายตามพระสัญญาใน 1 เธสะโลนิกา 5:23 คุณจะแสวงหาที่จะรู้ถึงความเป็นจริงในคำอธิษฐานของเปาโลที่ว่า “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด ” คุณจะเริ่มต้นถามพระเจ้าว่า “มีอีกไหมที่พระองค์อยากให้ลูกทำในชีวิต? ให้ลูกได้รับการทำให้บริสุทธิ์ได้ไหม? ให้ความปรารถนาในใจของลูกได้รับการเปลี่ยนใหม่เพื่อลูกจะไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจได้ไหม?”
คริสเตียนตลอดทั้งประวัติศาสตร์ได้อธิษฐานว่าพระเจ้าจะให้ใจบริสุทธิ์แก่พวกเขา ตาม
1 เธสะโลนิกา 5:23 บางคนเรียกประสบการณ์นี้ว่าเป็น “การชำระให้บริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง”[1] บางคนเรียกว่าเป็น “ชีวิตระดับลึกกว่า” จอห์น เวสเลย์ ใช้คำว่า “รักที่สมบูรณ์ดีพร้อม” ไม่ว่าจะใช้คำอะไรนี่คือความหิวกระหายซึ่งเป็นธรรมชาติของลูกของพระเจ้าที่ต้องการเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น
เมื่อคุณอธิษฐานสำหรับการชำระให้สะอาดในระดับที่ลึกมากขึ้น คุณอาจพบสามด้านที่พระเจ้าจะนำคุณ นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ยังไม่เชื่อ ตอนนี้คุณเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้านต่าง ๆ เหล่านี้เป็นด้านที่พระเจ้ากำลังเรียกให้คุณมีใจบริสุทธิ์
พระเจ้าจะเรียกคุณให้เชื่อฟังอย่างสุดใจ
ผู้เชื่อบางคนติดขัดกับการค้นพบใจบริสุทธิ์เพราะพวกเขายังคงต้องต่อสู้กับการไม่เชื่อฟังในบางด้าน เราไม่สามารถเดินไปกับพระเจ้าด้วยความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดได้จนกว่าเราจะเดินในการเชื่อฟัง
ไม่มีคริสเตียนแท้จริงคนใดที่ใช้ชีวิตอยู่ในการตั้งใจกบฏต่อต้านคำสั่งของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม มีคริสเตียนหลายคนที่หาข้อแก้ตัวหรือปฏิเสธ (แม้กับตัวเอง) สำหรับบางด้านที่พวกเขาประมาท พวกเขาจะไม่พูดว่า “พระเจ้า ลูกจะไม่เชื่อฟังพระองค์” แต่พวกเขาพูดว่า “พระเจ้า ลูกไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้สำคัญที่ลูกจะต้องระมัดระวัง” พวกเขาทำเป็นไม่ใส่ใจกับบางด้านที่ไม่เชื่อฟัง ถ้าหากเราต้องการเป็นคนบริสุทธิ์อย่างที่พระเจ้าเรียกให้คนของพระองค์เป็น เราต้องเชื่อฟังพระเจ้าในทุก ด้าน
ในการเป็นคนที่ล้มลงในความบาป เราหลอกตัวเองเกี่ยวกับความลึกของบาปของเรา เพราะเหตุนี้เอง ผู้เขียนสดุดีจึงอธิษฐานว่า...
“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตรวจค้นข้าพระองค์และทรงรู้จักจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงทดสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักความคิดของข้าพระองค์ และขอทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในทางนิรันดร์” (สดุดี 139:23-24)
ผู้เขียนสดุดีอธิษฐานว่าพระเจ้าจะตรวจค้นและเปิดเผยจิตใจของเขา เขารู้ว่าเราไม่มีความสามารถที่จะรู้ถึงในใจของเราทุกอย่าง แต่เมื่อเราแสวงหาที่จะ “ได้รับการเติมเต็มด้วยความไพบูลย์ของพระเจ้า” เราก็จะอธิษฐานขอให้พระเจ้าเปิดเผยทุกด้านที่เป็นธรรมชาติบาปของเรา
ดาวิดอธิษฐานว่า “ขอทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่” (สดุดี 19:12) เขารู้ว่าเราอาจซ่อนความบาปที่มีอยู่จริงจากตัวเราเองได้ มีเพียงพระเจ้าที่สามารถฉายส่องเข้ามาในมุมที่ซ่อนเร้นในใจของเรา
เมื่อคุณแสวงหาใจบริสุทธิ์ คุณจะพบว่าพระเจ้าจะเปิดเผยด้านต่าง ๆ ในท่าทีและการกระทำของคุณที่ไม่สะท้อนพระฉายของพระองค์ เพราะคุณต้องการเป็นเหมือนพระคริสต์ คุณจะเต็มใจรับสารภาพเกี่ยวกับด้านต่าง ๆ และเชื่อการทรงเรียกของพระเจ้าให้เชื่อฟังอย่างสุดใจ
พระเจ้าจะเรียกให้คุณมีใจที่ยอมจำนน
เมื่อคุณแสวงหาใจบริสุทธิ์ พระเจ้าจะเรียกให้คุณยอมจำนนทุกด้านของชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่การพูดว่า “ไม่” กับการทดลองภายนอก แต่เป็นการชำระตัวคุณเองให้บริสุทธิ์ต่อพระเจ้า มันคือการยอมจำนนความตั้งใจของคุณต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
เปาโลเรียกคริสเตียนในกรุงโรมให้ยอมถวายตัวเองเป็น “เครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (โรม 12:1) เหล่านี้คือคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระเจ้า แต่เปาโลเรียกให้พวกเขายอมจำนนมากขึ้นต่อพระเจ้า เปาโลเรียกพวกเขาให้ตอบรับอย่างถาวรว่า “ได้” ต่อพระเจ้า เขาเรียกคริสเตียนเหล่านี้ให้ยอมจำนนอย่างเต็มที่
ออสวาร์ดแชมเบอร์สบอกถึงความสำคัญในการยอมจำนนอย่างเต็มที่ต่อพระประสงค์ของพระเจ้าว่า...
[2] “คนที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เขาต้องเต็มใจไม่เพียงละทิ้งความบาป แต่ยอมจำนนวิธีการมองสิ่งต่าง ๆ ของเขาทั้งหมด การบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณของพระเจ้าหมายความว่าเราต้องเต็มใจปล่อยมือก่อนที่เราจะคว้าอย่างอื่นเพิ่ม...
ควบคู่กับแต่ละย่างก้าวในกระบวนการนี้ เราจะต้องสละสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเพื่อตัวเอง เราเต็มใจยอมสละโอกาสไขว่คว้าสิ่งต่าง ๆ ที่เราเป็นเจ้าของ ความปรารถนา และทุกสิ่งในชีวิตของเราไหม? เราพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการตายของพระเยซูคริสต์แล้วหรือยัง?
…ตั้งใจให้ดีเพื่อเดินผ่านวิกฤติ ยอมจำนนทุกสิ่งที่คุณมีและทุกสิ่งที่คุณเป็นให้กับพระองค์ และพระเจ้าจะเสริมสร้างคุณให้ทำทุกสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้คุณทำ”[3]
จอร์จ มาเธสัน เป็นศิษยาภิบาลชาวสก๊อตคณะเพรสไบทีเรียน เขาพบการต้านทานพระประสงค์ของพระเจ้าในใจของเขา เขาหิวกระหายที่จะมีใจเด็ดเดี่ยวที่เต็มใจยอมจำนนต่อพระเจ้า เขาอธิษฐานด้วยคำอธิษฐานเพื่อยอมจำนนนี้ว่า...
“พระเจ้า ขอยึดข้าพระองค์ไว้เป็นเชลย เพื่อข้าพระองค์จะเป็นไท ขอบังคับให้ข้าพระองค์วางดาบของตัวเอง และข้าพระองค์จะเป็นผู้พิชิต ข้าพระองค์จมอยู่ในความตื่นตัวของชีวิตเมื่อยืนด้วยตัวเอง ขอกักขังข้าพระองค์ไว้ในอ้อมแขนของพระองค์ และมือของข้าพระองค์จะแข็งแกร่ง”[4]
มาเธสันเข้าใจว่าในการยอมจำนนอย่างสิ้นเชิงนั้น เราพบชัยชนะที่แท้จริง เมื่อเรามอบตัวเองให้เป็นเชลยของพระเจ้า พระองค์จะไถ่เราให้เป็นไทจากการเป็นทาสบาป เมื่อเราอ่อนแอ พระองค์ทำให้เราเข้มแข็ง เราพบชัยชนะยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเรามาถึงจุดที่ยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
พระเจ้าจะเรียกคุณให้วางใจพระองค์ด้วยความเชื่อ
ถ้าคุณยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง คุณสามารถวางใจพระองค์ในการ “ทำให้ใจของคุณบริสุทธิ์โดยความเชื่อ” (กิจการ 15:9) เราได้รับการทำให้บริสุทธิ์โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ
ในฐานะคนบาปคนหนึ่ง คุณมาหาพระคริสต์โดยไม่มีสิ่งใดเลย ฝากทั้งชีวิตไว้กับพระเมตตาของพระองค์ โดยความเชื่อ คุณยอมรับความรอดที่ให้เปล่าจากพระองค์ และพระองค์ทำให้คุณเป็นสิ่งทรงสร้างใหม่
ในทำนองเดียวกัน เมื่อคุณหิวกระหายใจที่บริสุทธิ์ คุณต้องมาหาพระคริสต์ด้วยความเชื่อ พระเจ้าผู้เรียกคุณให้บริสุทธิ์จะทำให้คุณบริสุทธิ์ คุณสามารถเชื่อว่าพระสัญญาของพระองค์มีไว้สำหรับคุณ คำอธิษฐานของเปาโลที่ว่า “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด” สามารถเป็นจริงในชีวิตของคุณ คุณสามารถเชื่อพระสัญญาของพระเจ้า “พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ” (1 เธสะโลนิกา 5:23-24)
อิสยาห์ 6 - เรื่องการชำระให้สะอาด
“บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์” ทูตสวรรค์ป่าวร้องในขณะที่อิสยาห์กลัวจนตัวสั่น อิสยาห์จำเป็นต้องเห็นตัวเอง “มลทิน” ก่อนที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะสามารถมอบจิตวิญญาณของชนชาติให้กับเขา
เมื่ออิสยาห์เห็นหัวใจของตัวเอง เขาร้องว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคนริมฝีปากไม่สะอาด” เขาเห็นธรรมชาติบาปที่อยู่ลึกในชีวิตของเขา แต่พระเจ้าไม่ได้ปล่อยให้เขาอยู่ในความกลัวจนตัวสั่นนั้น
“แล้วองค์หนึ่งในพวกเสราฟิมบินมาหาข้าพเจ้า ในมือมีถ่านเพลิงซึ่งท่านเอาคีมคีบมาจากแท่นบูชา และท่านแตะต้องปากของข้าพเจ้าพูดว่า ‘นี่แน่ะ สิ่งนี้ได้แตะต้องริมฝีปากของเจ้าแล้ว ความผิดของเจ้าก็ถูกขจัด และบาปของเจ้าก็ได้รับการลบล้าง’”
การชำระมักจะเจ็บปวด คุณได้ยินเสียงความร้อนเผาไหม้ริมฝีปากของอิสยาห์ไหมตอนที่ทูตสวรรค์เอาถ่านเพลิงมาแตะ? นี่ไม่ใช่พระคุณราคาถูก การชำระให้สะอาดไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่เจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนี้สอนความจริงที่อัศจรรย์และหนุนใจ ถ้าหากเรายอม พระเจ้าจะทำให้เราบริสุทธิ์ พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่การทรมานอิสยาห์ พระประสงค์ของพระเจ้าคือทำให้อิสยาห์สะอาด พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคนของพระองค์สามารถ ทำให้สำเร็จได้ เราสามารถ ได้รับการชำระให้สะอาดได้
เติบโตอย่างต่อเนื่องในความบริสุทธิ์
เปาโลอธิษฐานว่า “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด” เขาพูดต่อว่า “และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา” (1 เธสะโลนิกา 5:23) การเติบโตของคุณในการเป็นเหมือนพระคริสต์จะยังคงต่อเนื่องไปจนกว่า “พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา” เมื่อคุณเดินไปกับพระเจ้า คุณจะยังคงได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นตามพระฉายของพระเจ้า (2 โครินธ์ 3:18) คุณจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความบริสุทธิ์ คุณจะยังคงยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าต่อไปด้วยความยินดี คุณจะเดินไปอย่างสม่ำเสมอและตั้งใจยอมจำนนต่อพระเจ้า
คิดถึงงานแต่งงานของคุณ เมื่อคุณแต่งงานคุณก็อุทิศตัวตลอดชีวิต คุณไม่ถามตัวเองทุกเช้าว่า “ฉันแต่งงานแล้วหรือวันนี้? พันธสัญญาสมรสยังใช้ได้อยู่ไหม?” คุณตัดสินใจหนึ่งครั้งเพื่ออุทิศตัวทั้งชีวิต หนทางเดียวที่จะทำลายพันธสัญญานี้คือการหันหลังให้กับคำมั่นสัญญาที่คุณให้ไว้ในวันแต่งงาน
ในชีวิตสมรสของคุณแต่ละวัน คุณใช้ชีวิตตามคำมั่นสัญญาที่คุณให้ไว้ในวันแต่งงาน เมื่อเผชิญกับการตัดสินใจ คุณเลือกที่จะปฏิบัติต่อคู่ครองของคุณด้วยความรัก การตัดสินใจหนึ่งครั้งเพื่ออุทิศตัวทั้งชีวิตสำแดงออกมาในชีวิตประจำวัน
ในทำนองเดียวกัน การยอมจำนนของคุณต่อพระเจ้าเป็นการตัดสินใจหนึ่งครั้งเพื่ออุทิศตัวทั้งชีวิต คุณไม่จำเป็นต้องถามทุกวันว่า “ฉันยังยอมจำนนต่อพระเจ้าอยู่ไหม?” แต่ในแต่ละวันให้คุณดำเนินชีวิตตามคำมั่นสัญญาที่คุณให้ไว้เมื่อครั้งที่คุณยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างเต็มที่
นักเทศน์ชาวสก๊อตผู้ยิ่งใหญ่คือ ฮาราติอุส โบนาร์ เขียนเรื่องการเติบโตเป็นคนที่บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่องว่า...
“ชีวิตที่บริสุทธิ์ถูกสร้างขึ้นจากสิ่งเล็ก ๆ จำนวนมหาศาล การสร้างชีวิตคริสเตียนที่แท้จริงเกิดจากถ้อยคำเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่การกล่าวสุนทรพจน์หรือคำเทศนา การกระทำเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่การอัศจรรย์ ไม่ใช่สงคราม หรือไม่ใช่การกระทำอย่างกล้าหาญหรือการพลีชีพอย่างยิ่งใหญ่ คือสิ่งเล็ก ๆ ที่สร้างชีวิตที่ยิ่งใหญ่”[5]
นี่คือชีวิตประจำวันของความบริสุทธิ์ คุณไม่ได้ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ด้วยกำลังของคุณเอง แต่โดยการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตบริสุทธิ์คือความสัมพันธ์รักที่เด็ดเดี่ยวต่อพระเจ้า เป็นความปรารถนาพระองค์อย่างแรงกล้า เป็นความต้องการพระองค์มากกว่าสิ่งใด ความปรารถนาที่แรงกล้านี้นำคุณให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าในระดับลึกมากขึ้น
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มนุษย์พยายามดำเนินชีวิตที่เป็นเอกเทศพระเจ้า ซาตานทดลองเอวาด้วยคำสัญญาว่า “เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า” (ปฐมกาล 3:5) ที่หอบาเบล ผู้คนตัดสินใจ “ให้เราสร้างเมืองขึ้นสำหรับเราและสร้างหอให้ยอดเทียมฟ้า ให้เราทำชื่อเสียงไว้” (ปฐมกาล 11:4) ในการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มนุษย์อยากใช้ชีวิตที่เป็นเอกเทศจากพระเจ้า ซึ่งแตกต่างกับชีวิตที่บริสุทธิ์ที่จะใช้ชีวิตในการพึ่งพระเจ้าอย่างเต็มที่
ความบริสุทธิ์เป็นของพระเจ้า คุณและผมบริสุทธิ์ก็ต่อเมื่อ เราใช้ชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกับพระองค์ คุณจะไม่มีวันไปถึงจุดที่คุณจะพูดได้ว่า “ฉันบริสุทธิ์ด้วยกำลังของฉันเอง” แต่คุณต้องพูดว่า “วันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานฤทธิ์เดชเพื่อให้ฉันมีชีวิตที่บริสุทธิ์ วันนี้ฉันกำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ วันนี้ฉันกำลังเชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจที่รักพระองค์อย่างสุดใจ วันนี้ฉันกำลังรักเพื่อนบ้านโดยทางพระคุณของพระเจ้า วันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำให้ฉันเป็นอย่างที่พระเจ้าเรียกให้เป็น” นี่คือชีวิตที่บริสุทธิ์
[1] “สิ้นเชิง” เป็นอีกคำของคำว่า “หมดจด” คำนี้ใช้ใน 1 เธสะโลนิกา 5:23 คำนี้ไม่ได้หมายความว่า “เป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์” แต่คือการบริสุทธิ์และสะอาดอย่างสมบูรณ์
[2] “วิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตคริสเตียน คือการยอมจำนนความตั้งใจของเรา อย่างสิ้นเชิง”
- ออสวาร์ด แชมเบอร์ส
[3] ออสวาร์ด แชมเบอร์ส (Oswald Chambers), สุดกำลังของฉันเพื่อสิ่งที่สูงสุดของพระองค์ (
My Utmost for His Highest ) (บันทึก 8 มีนาคม) นำข้อมูลมาจาก https://utmost.org/the-surrendered-life/ on March 28, 2020
[5] ฮอราติอุส โบนาร์ (Horatius Bonar), วิถีแห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า (
God’s Way of Holiness ) (Chicago: Moody Press, 1970), 125-126
Previous
Next