เราจะไม่ได้ศึกษาถึงพระลักษณะทั้งหมดของพระเจ้า แต่เราจะเลือกศึกษาเฉพาะพระลักษณะสำคัญที่สุดที่เราต้องรู้
► คุณสามารถบอกถึงพระลักษณะของพระเจ้าในด้านใดได้บ้าง?
พระเจ้าเป็นบุคคล
หมายความว่าพระองค์เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริงที่มีสติปัญญา ความรู้สึก และเจตนา พระองค์ไม่ได้ผลรวมของกฎแห่งธรรมชาติทั้งหลายหรือไม่ใช่พลังที่ไม่มีตัวตนเหมือนกับกระแสไฟฟ้าหรือแรงดึงดูดของโลก พระองค์เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กระทำ เป็นผู้รู้ เป็นผู้ประสงค์ เป็นผู้วางแผน และเป็นผู้ตรัส
► ถ้าหากพระเจ้าไม่ได้เป็นบุคคลจะทำให้เกิดความแตกต่างกับเราอย่างไรบ้าง?
ความจริงเกี่ยวกับการเป็นบุคคลของพระองค์ทำให้เราสามารถมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้ ถ้าหากพระองค์ไม่ได้เป็นบุคคล เราก็ไม่สามารถอธิษฐานต่อพระองค์ ถ้าหากพระองค์ไม่ได้เป็นบุคคล พระองค์ก็ไม่สามารถพอพระทัยหรือไม่พอพระทัยได้
พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ
"พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง" (ยอห์น 4:24)
ความจริงเกี่ยวกับพระองค์เป็นพระวิญญาณจัดเตรียมรากฐานที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้ในฝ่ายวิญญาณและในการนมัสการของเรา การอธิษฐานและนมัสการไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุสิ่งของ ตำแหน่งทางกายภาพ รายการต่างๆ หรือตัวอาคารต่างๆ สิ่งเหล่านั้นอาจช่วยให้เราจดจ่อในการนมัสการได้ แต่การนมัสการไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น
ความจริงที่ว่าพระเจ้าเป็นพระวิญญาณเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระองค์ห้ามไม่ให้เราทำรูปเหมือนสำหรับพระองค์[1] เมื่อพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ เราจึงมองไม่เห็นพระองค์ด้วยตาเปล่า[2] นอกจากว่าพระองค์เลือกสำแดงแก่เราในรูปแบบที่ตาเปล่ามองเห็นได้[3] เพราะความเข้าใจของเราเกี่ยวกับพระเจ้ามีอย่างจำกัด แม้เมื่อพระองค์ปรากฎในรูปแบบที่มองเห็นได้ก็ตาม เป็นความจริงที่ว่าไม่มีใครได้เห็นพระเจ้าอย่างเต็มตา[4]
พระเจ้าดำรงอยู่นิรันดร์
ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีเวลาใดที่พระเจ้าไม่ดำรงอยู่ และจะไม่มีเวลาใดที่พระองค์จะไม่ดำรงอยู่ พระเจ้าไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด พระเจ้าเปิดเผยพระองค์เองโดยพระนาม เราเป็นผู้ที่เราเป็น [5] ยอห์นอธิบายว่าพระองค์คือผู้ที่เป็นอยู่ ผู้ที่เคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ที่มีฤทธานุภาพสูงสุด[6] พระองค์เป็นพระเจ้าตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล[7] บางศาสนามีตำนานเกี่ยวกับกำเนิดพระต่างๆ ของพวกเขา แต่พระเจ้าเที่ยงแท้ดำรงอยู่นิรันดร์
พระเจ้าตรีเอกานุภาพ
หลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพมาจากข้อมูลความจริงที่พระคัมภีร์บอกว่ามีพระเจ้าองค์เดียว แต่กล่าวถึงพระเจ้าด้วยว่าพระองค์เป็นสามบุคคล มีพระเจ้าองค์เดียว แต่ธรรมชาติของพระองค์เป็นสามบุคคล ถึงแม้ว่าเราอาจไม่เข้าใจเรื่องตรีเอกานุภาพได้ทั้งหมด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล เพราะเราไม่ได้พูดว่ามีสามบุคคลที่เป็นหนึ่งที่เหมือนกัน มีพระเจ้าองค์เดียวแต่ดำรงอยู่ในฐานะสามบุคคล เนื่องจากพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ครอบครองพระลักษณะทั้งหมดของความเป็นพระเจ้าร่วมกัน ดังนั้นในแต่ละบุคคลของตรีเอกานุภาพจึงเป็นพระเจ้าและสมควรได้รับการนมัสการ
พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจสูงสุด
พระองค์สามารถทำสิ่งใดตามที่พระองค์ปรารถนาได้ “พระเจ้าของเราทั้งหลายอยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พอพระทัย พระองค์ก็ทรงกระทำ”[8] พระองค์ไม่มีข้อจำกัดยกเว้นว่าพระองค์จะไม่ทำในสิ่งที่ขัดต่อพระลักษณะอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และพระองค์ทำตามสิ่งที่พระองค์สัญญาไว้เสมอ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระเจ้า "องค์พระเจ้า[9] พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทรงครอบครองอยู่”[10]
► การที่เรารู้ว่าพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจสูงสุดสร้างความแตกต่างให้แก่เราอย่างไรบ้าง?
ความรู้นี้หนุนใจเรา เพราะเรารู้ว่าในท่ามกลางปัญหาต่างๆ พระองค์ “สามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพที่ทำกิจอยู่ภายในเรา”[11] แม้ว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เรารู้ว่าแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจะสำเร็จแน่นอน เราสามารถอธิษฐานด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าสามารถแทรกแซงในทุกสถานการณ์ได้
พระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนแห่ง
ไม่มีที่ใดที่พระเจ้าไม่สถิตอยู่ และไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยพระเจ้าไม่เห็น “สวรรค์เป็นพระที่นั่งของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นวางเท้าของเรา”[12] พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง “ใครจะซ่อนตัวจากเราไปอยู่ในที่ลี้ลับเพื่อเราจะไม่เห็นเขาได้หรือ? เราไม่ได้อยู่เต็มฟ้าสวรรค์และโลกหรือ? ”[13] สิ่งนี้ให้ความมั่นใจแก่เราว่าพระเจ้ารู้เกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ และปัญหาทุกอย่างของเรา และยังบอกเราว่าไม่มีใครสามารถซ่อนตัวจากพระเจ้าได้ หรือไม่มีความบาปใดที่พระองค์ไม่เห็น ทุกสิ่งปรากฎอย่างชัดเจนต่อตาของพระองค์[14]
พระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีเวลาใดที่พระองค์กลายมาเป็นพระเจ้า และพระองค์จะไม่มีวันเลิกเป็นพระเจ้า[15] มีบางศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้ายังอยู่ในกระบวนการพัฒนา แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยทั้งในการเป็นอยู่และธรรมชาติของพระองค์ ในพระลักษณะและพระประสงค์ของพระองค์[16] พระองค์รักในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ และพระองค์เกลียดสิ่งที่ผิดเสมอ พระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ที่เปิดเผยพระองค์เองให้กับโมเสสว่าเราเป็น ก็เป็นผู้ที่เปิดเผยว่าเราเป็น ในวันนี้ด้วย พระองค์ไม่จำกัด เป็นนิรันดร์ และไม่เปลี่ยนแปลงในผู้ที่พระองค์เป็น ในสติปัญญา ฤทธิ์อำนาจ ความบริสุทธิ์ ความยุติธรรม ความดี และความจริง พระองค์เป็นเหมือนเดิม และปีเดือนของพระองค์ไม่มีที่สิ้นสุด[17]
พระเจ้ารู้ทุกสิ่ง
"ความเข้าใจของพระองค์นั้นสุดจะวัดได้"[18] ไม่มีกระบวนการเรียนรู้สำหรับพระเจ้า เพราะพระองค์รู้ทุกสิ่ง พระเจ้าไม่เคยต้องเรียนรู้เรื่องอะไรจากใคร และไม่มีใครที่ให้คำปรึกษาแก่พระองค์ได้[19] พระเจ้ารู้อนาคตและพระองค์จึงไม่เคยประหลาดใจหรือไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ใดที่เกิดขึ้น[20]
► การที่เรารู้ว่าพระเจ้ารู้ทุกสิ่งสร้างความแตกต่างให้กับเราอย่างไรบ้าง?
ความรู้ของพระเจ้าเกี่ยวข้องกันกับสติปัญญาของพระเจ้า ซึ่งเห็นได้ในการทรงสร้าง และโดยเฉพาะในแผนการแห่งความรอด[21] เนื่องจากพระองค์รู้และเข้าใจทุกสิ่ง พระองค์จึงรู้เสมอว่าอะไรคือสิ่งถูกต้องที่ต้องทำ พระประสงค์ของพระเจ้าดีที่สุดสำหรับเราเพราะพระเจ้าเข้าใจทุกสถานการณ์และรู้ถึงผลลัพธ์ของทุกการกระทำ
พระเจ้าบริสุทธิ์
พระเจ้าอธิบายถึงพระองค์เองว่าบริสุทธิ์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงพระเจ้าหลายครั้งว่าพระองค์เป็น “องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล” พวกทูตสวรรค์ร้องว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์” ต่อหน้าพระองค์ทุกเวลา[22] ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือหัวข้อหลักของการนมัสการ “ให้พวกเขายกย่องพระนามอันยิ่งใหญ่และน่าคร้ามกลัวของพระองค์พระองค์บริสุทธิ์”[23] พระองค์เป็นมาตรฐานของความสมบูรณ์แบบทางศีลธรรมทั้งหมด การกระทำของพระองค์ตั้งอยู่บนเกณฑ์ของความดีทั้งหมดและโดยปราศจากความชั่วทั้งสิ้นซึ่งไม่สามารถเป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ได้ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่เหมาะสมที่จะรับใช้และนมัสการโดยที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคุณก่อน[24] พระเจ้าปรารถนาให้เราบริสุทธิ์เหมือนพระองค์ “แต่พระองค์ผู้ทรงเรียกพวกท่านนั้นบริสุทธิ์อย่างไร พวกท่านเองก็จงเป็นคนบริสุทธิ์ในชีวิตทุกด้านอย่างนั้น เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์”[25]
พระเจ้าชอบธรรม
พระเจ้ากระทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ การกระทำของพระองค์ออกมาจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ของพระองค์[26] พระลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพระองค์เป็นมาตรฐานของสิ่งที่ถูกต้อง พระองค์รักษาคำพูดของพระองค์เสมอและไม่เคยโกหก[27]
► เพราะเหตุใดการที่พระเจ้าชอบธรรมมีความสำคัญต่อเรา?
ความชอบธรรมของพระองค์เป็นรากฐานของกฎบัญญัติของพระองค์ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบในการปฏิบัติหน้าที่ของเราต่อพระองค์และต่อผู้อื่น พระองค์ใช้กฎบัญญัติของพระองค์ด้วยความยุติธรรม ประทานรางวัลแก่คนที่เชื่อฟังกฎบัญญัติ และลงโทษคนที่ฝ่าฝืน สิ่งนี้เป็นการปลอบใจคนที่กำลังทนทุกข์และถูกกดขี่ แต่เป็นการเตือนให้เรารู้ด้วยว่าไม่มีใครที่ทำผิดจะถูกละเว้น “กฎหมายของพระยาห์เวห์ก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น”[28] พระองค์ “จะประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา”[29] “เราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า”[30]
พระเจ้าเป็นความรัก
พระลักษณะนี้สำคัญอย่างมาก[31] ลองจินตนาการว่าจะน่ากลัวเพียงไรหากพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจสูงสุดและรู้ทุกสิ่ง แต่ไม่มีความรักให้กับเรา จะเป็นอย่างไรหากพระองค์บริสุทธิ์ชอบธรรม แต่ไม่ได้รักเรา พระเจ้ารักเราในขณะที่พระองค์มีฤทธิ์อำนาจและบริสุทธิ์[32] พระเจ้าอวยพรสิ่งทรงสร้างของพระองค์[33] พระองค์อวยพรมนุษย์ด้วยสิ่งดีทั้งหลายในชีวิตและพระองค์ออกแบบโลกนี้เพื่อพวกเขาจะอาศัยอยู่ได้ด้วยความยินดี[34] สำหรับคนที่รักและรับใช้พระองค์ พระองค์เปลี่ยนทุกสิ่งในชีวิตให้กลายเป็นพระพร[35] พระเจ้าอวยพรเราด้วยพระคุณ พระเมตตา ความอดกลั้น และสันติสุขของพระองค์ก็เพราะพระองค์รักเรา[36]
“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”[37]
แม้เราจะมีความบาปและการกบฏ พระองค์ก็ยังทรงสำแดงพระเมตตาแก่เราด้วยการเชื้อเชิญให้เรามาหาพระองค์ผ่านทางพระเยซูผู้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเรา[38] ที่กางเขน พระเจ้าสำแดงพระทัยของพระองค์ที่ล้นไปด้วยความรักและความสงสารต่อเรา “ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา”[39] พระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนโดยไม่คำนึงว่าพวกเขาเป็นชนชาติไหน มีความสามารถเพียงใด หรือมีฐานะอะไรบนโลกนี้ พระองค์ประทานการยกโทษให้กับทุกคน[40] ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าต้องการให้เรารักมนุษย์ทุกคนและเต็มใจยกโทษให้คนที่ทำผิดต่อเรา ความรักและการยกโทษเป็นเครื่องหมายของลูกของพระเจ้า[41]
พระเจ้าสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ ถึงแม้ว่าเรามีความจำกัดแต่พระเจ้าไม่จำกัด เราก็เป็นเหมือนพระองค์มากกว่าสิ่งทรงสร้างอื่นๆ พระองค์ออกแบบให้เรารู้จักพระองค์ได้ นมัสการพระองค์ และรักพระองค์ได้ พระองค์สร้างเราขึ้นมาเพื่อพระองค์เอง เหมือนกับที่ออกัสตินเตือนให้เราระลึกว่า เราไม่ควรหยุดพักจนกว่าเราจะได้พบการพักสงบในพระองค์ เมื่อเทียบกับพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีความสำคัญ และพระองค์ผู้เดียวที่สมควรต่อการอุทิศตัวของเราอย่างเต็มที่ เราไม่สามารถหาความอิ่มใจแบบถาวรได้ในที่อื่นยกเว้นในพระเจ้าเท่านั้น โดยพระคุณของพระองค์ เราสามารถได้รับการไถ่และสามารถนมัสการพระองค์เหนือทุกสิ่ง ไว้วางใจพระองค์ในฐานะพระบิดาในสวรรค์ของเรา และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ในทุกด้านของชีวิตของเรา
บันทึกสำหรับผู้สอน : เนื้อหาในหัวข้อถัดไป (“พระเจ้าองค์อธิปไตย”) สามารถให้สมาชิกในชั้นเรียนอธิบายได้
[1] อ่าน อพยพ 20:4-6
[2] 1 ทิโมธี 1:17
[3] อ่าน ปฐมกาล 18:1; อิสยาห์ 6:1
[4] ยอห์น 6:46; ยอห์น 1:18; อพยพ 33:20
[5] อพยพ 3:14
[6] วิวรณ์ 1:8
[7] สดุดี 90:2
[8] สดุดี 115:3
[9] “อย่างที่ข้าพเจ้ามั่นใจว่ามีผู้ที่ไร้ขีดจำกัดและเป็นอิสระ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมากกว่าหนึ่ง ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าพระเจ้าองค์เดียวนี้คือพระบิดาของสรรพสิ่ง... ผมเชื่อว่าพระบิดาของสรรพสิ่งนี้ไม่เพียงแค่สามารถทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัย แต่ยังมีสิทธิอันเป็นนิรันดร์ที่จะสิ่งใดๆ ในเวลาใดๆ และด้วยวิธีการใดๆ ที่พระองค์ต้องการได้ พระองค์มีอิสระในการครอบครองหรือจัดการทุกสิ่งที่พระองค์สร้างมา และจากความดีงามของพระองค์ พระองค์สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ตลอดจนสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้น” - จอห์น เวสเล่ย์ “จดหมายถึงโรมันคาธอลิก”
[10] วิวรณ์ 19:6
[11] เอเฟซัส 3:20
[12] อิสยาห์ 66:1
[13] เยเรมีย์ 23:24
[14] อ่าน ฮีบรู 4:13
[15] อ่าน ยากอบ1:17
[16] อ่าน มาลาคี 3:6
[17] สดุดี 102:27
[18] สดุดี 147:5
[19] อ่าน อิสยาห์ 40:13-14.
[20] สดุดี 139:4
[21] อ่าน สดุดี 104:24; โรม 11:33
[22] อิสยาห์ 6:3
[23] สดุดี 99:3
[24] อ่าน อิสยาห์ 6:5
[25] 1 เปโตร 1:15-16
[26] อ่าน เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4
[27] กันดารวิถี 23:19; 2 ซามูเอล 7:28
[28] สดุดี 19:9
[29] โรม 2:6
[30] โรม 14:10
[31] “พระองค์สร้างเราขึ้นมาเพื่อพระองค์เอง โอ พระเจ้า และใจของเราจะไม่หยุดพักจนกว่าจะได้พบการพักสงบในพระองค์” - ออกัสติน แห่งฮิปโป
[32] อ่าน ลูกา 18:19; สดุดี 119:68
[33] ปฐมกาล 1:22, 28
[34] สดุดี 8:4-6; สดุดี 23; สดุดี 36:5-10; และสดุดี 103
[35] โรม 8:28
[36] อ่าน อพยพ 34:6; เอเฟซัส 1:7, 2:4-5
[37] ยอห์น 3:16
[38] 1 ยอห์น 2:2
[39] 1 ยอห์น 4:10
[40] อ่าน โรม 2:11; ยากอบ 2:1-5
[41] อ่าน มัทธิว 5:43-45
Previous
Next