บทนำ
บันทึกสำหรับหัวหน้าชั้นเรียน: ให้นักศึกษาสอบด้วยการตอบคำถามที่ให้ไว้ท้ายบทที่แล้ว นักศึกษาควรเขียนคำตอบโดยไม่อนุญาตให้ดูหนังสือและห้ามพูดคุยกัน
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
1 min read
by Stephen Gibson
บันทึกสำหรับหัวหน้าชั้นเรียน: ให้นักศึกษาสอบด้วยการตอบคำถามที่ให้ไว้ท้ายบทที่แล้ว นักศึกษาควรเขียนคำตอบโดยไม่อนุญาตให้ดูหนังสือและห้ามพูดคุยกัน
เมื่อเราทำอย่างเต็มที่เพื่อรับการฝึกอบรมด้านพันธกิจกับเรียนรู้วิธีการต่าง ๆ มีอันตรายที่เกิดขึ้นได้จากการที่เราพึ่งความสามารถของมนุษย์ในการทำพันธกิจ แต่เหมือนที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในตัวเราเองที่จะถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากตัวเราเอง แต่ความสามารถนั้นมาจากพระเจ้า” (2 โครินธ์ 3:5)
เปาโลกล่าวว่าเขาไม่ได้เทศนาด้วยสติปัญญาของมนุษย์หรืออาศัยการชักชวนของมนุษย์ แต่เขาพึ่งการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อความเชื่อของผู้ฟังจะไม่ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า (1 โครินธ์ 2:4-5) เปาโลเป็นคนมีการศึกษา แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าความรู้และทักษะของเขาจะสร้างผลลัพธ์ฝ่ายวิญญาณได้
จดหมายที่เขียนถึงชาวเธสะโลนิกา เปาโลกล่าวว่า “และข่าวประเสริฐของเราที่มาถึงท่านไม่ได้มาด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม” (1 เธสะโลนิกา 1:5) พวกเขากลับใจมาเชื่อข่าวประเสริฐก็เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า
พระเยซูสัญญากับพวกอัครทูตว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา (ยอห์น16:8 ) พระเยซูตรัสว่าไม่มีใครมาถึงพระองค์ได้ นอกจากพระบิดาจะชักนำให้มา (ยอห์น 6:44)
พระองค์ทำให้คนบาปสำนึกผิด (ยอห์น 16:8)
พระองค์ทำให้คนบาปที่สำนึกผิดกลับใจมาเชื่อ (ยอห์น 3:5)
พระองค์สงวนคนชอบธรรมที่กลับใจมาเชื่อ (เอเฟซัส 1:13, เอเฟซัส 4:30)
พระองค์มอบหมายงานให้คนชอบธรรมที่ได้รับการสงวนไว้ (กิจการ 13:2, 4)
พระองค์ให้ฤทธิ์เดชแก่คนชอบธรรมที่ถูกมอบหมายงาน (กิจการ 1:8)
พระองค์สอนคนชอบธรรมที่ได้รับฤทธิ์เดช (ยอห์น 14:26; ยอห์น 16:13; 1 ยอห์น 2:27)
พระองค์นำคนชอบธรรมที่เรียนรู้ (ยอห์น 16:3, กิจการ 8:29)
พระองค์ทำลายการงานของเนื้อหนังในคนชอบธรรมที่พระองค์ทรงนำและสร้างพวกเขาในความชอบธรรม (โรม 8:13)
► การพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราให้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร? เราทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเมื่อเราพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์?
► เราควรคิดเรื่องใดเกี่ยวกับการฝึกอบรมและวิธีในการประกาศข่าวประเสริฐ?
เราถูกเรียกให้สื่อสารความจริงของพระเจ้า เราควรสื่อสารให้ดีที่สุดเพื่อให้เข้าใจ
เราไม่ควรคิดว่าเพราะเราพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงไม่ต้องพัฒนาความสามารถของเราผ่านการฝึกอบรม
เปาโลกล่าวว่าเขาพยายามชักชวนผู้คน (2 โครินธ์ 5:11) เขาบอกให้ทิโมธีศึกษาเพื่อจะสื่อสารความจริงของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง (2 ทิโมธี 2:15) หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการมีความสามารถในการสอน (2 ทิโมธี 2:24)
อปอลโลเป็นผู้ประกาศที่เกิดผลอย่างมาก เขาถูกกล่าวถึงว่าเป็นคนที่มีโวหารดี ชำนาญมากในเรื่องพระคัมภีร์ และมีใจกระตือรือร้น (กิจการ 18:25-26) ความสามารถตามธรรมชาติของเขาบวกกับของประทานฝ่ายวิญญาณทำให้เขาเป็นพระพรอย่างใหญ่หลวง
อัครทูตเปโตรบอกให้เราเตรียมพร้อมเสมอเพื่ออธิบายเกี่ยวกับความหวังในข่าวประเสริฐ (1 เปโตร 3:15)
พระคัมภีร์ตอนต่าง ๆ เหล่านี้บอกเราว่าพระเจ้าจะอวยพรและใช้ความสามารถตามธรรมชาติกับการฝึกอบรม ถ้าหากเราอุทิศตัวต่อพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์เรียกเราให้ทุ่มเทกำลังและความสามารถให้กับการงานของพระองค์
ในกิจการ 1:4-5 พระเยซูบอกพวกสาวกให้รอการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์เรียกว่าเป็น “พระสัญญาจาก
พระบิดา” เหตุการณ์นี้รวมถึงการรับฤทธิ์เดชเพื่อทำให้พวกเขาไปเป็นสักขีพยานทั่วโลก (กิจการ 1:8)
ถึงแม้ว่าพวกสาวกได้รับความรอดแล้ว พวกเขาก็ยังมีความต้องการสำหรับชีวิตภายในที่ต้องได้รับการตอบสนองก่อนที่พวกเขาจะพร้อมทำพันธกิจโดยปราศจากพระเยซูที่นำเขาอย่างที่มองเห็นจับต้องได้ในฝ่ายกายภาพ แม้ในตลอดสามปีของการฝึกฝนจากพระอาจารย์ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้เตรียมพวกเขาในเรื่องนี้ ปัญหาจากชีวิตภายในยังคงมีอยู่ ก่อนพวกเขาจะสามารถมีพันธกิจอันทรงพลังและได้รับการนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการตอบสนองต่อความต้องการเจาะจงในใจโดยการงานอย่างเจาะจงของพระวิญญาณบริสุทธิ์
[1]ปัญหานี้แสดงตนออกมาในโอกาสต่าง ๆ ตลอดช่วงสามปีแห่งการฝึกฝน บางครั้งพวกเขามีท่าทีผูกพยาบาท อย่างเช่นเมื่อพวกเขาต้องการเรียกไฟให้ลงมาเผาไหม้ผู้คนที่ปฏิเสธพวกเขา (ลูกา 9:54-55) บางครั้งพวกเขาแบ่งพรรคพวกด้วยความหยิ่งยะโส อย่างเช่นเมื่อพวกเขาห้ามชายคนหนึ่งไม่ให้ทำพันธกิจเพราะไม่ได้รับอนุญาติจากพวกเขา (มาระโก 9:38) พวกเขาเห็นแก่ตัวและใฝ่สูง อย่างเช่นเมื่อมีสองคนขอตำแหน่งสูงและทำให้คนอื่น ๆ ไม่พอใจ (มาระโก 10:35-41)
พวกเขาโต้เถียงกันว่าใครจะยิ่งใหญ่ที่สุด (มาระโก 9:33-34) การที่พวกเขารู้สึกละอายเมื่อพระเยซูตรัสถามสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงนั้น แสดงให้เห็นถึงความตระหนักว่า พวกเขาควรมีแรงจูงใจที่ดีกว่านี้
ในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูล้างเท้าของพวกสาวก และบอกพวกเขาให้มีท่าทีอย่างเดียวกันกับที่พระองค์แสดงให้เห็นในการเป็นผู้รับใช้ (ยอห์น 13:14) แต่พวกเขายังไม่มีความถ่อมใจแบบนี้ พวกเขาปฏิเสธที่จะรับใช้กันและกันในเย็นวันเดียวกันนั้น ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เพราะขาดความรู้ แต่คือความหยิ่งของพวกเขา
พระเยซูบอกพวกเขาว่าควรมีความรักที่มากพอจนถึงขนาดยอมสละชีวิตให้กันได้ (ยอห์น 15:12-13) พวกเขาคิดว่าตัวเองมีความรักแบบนี้ แต่กลับไม่มี เพราะพวกเขาพากันหนีเอาตัวรอดเมื่อมีการจับกุมพระเยซู แม้พวกเขาได้เคยพูดไว้ว่าจะยอมตายเพื่อพระองค์ (มาระโก 14:31, 50)
ทั้งหมดนี้คือคนที่จะมีความรับผิดชอบนำและขยายคริสตจักรโดยไม่มีพระคริสต์อยู่กับพวกเขาในฝ่ายกายภาพ พระเยซูรู้ว่าพวกเขาจะยังไม่พร้อมทำพันธกิจจนกว่าความต้องการของชีวิตภายในจะได้รับการตอบสนอง ดังนั้นพระองค์จึงบอกให้พวกเขารอคอยที่เยรูซาเล็มจนกว่าจะได้รับตาม “พระสัญญาของพระบิดา” (กิจการ 1:4-5) พระสัญญานี้ได้รับการระบุถึงว่าเป็นการบัพติศมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะไม่เดินหน้าในการก่อตั้งและทำให้คริสตจักรรุ่งเรืองโดยปราศจากสิ่งนี้
พระองค์ไม่ได้บอกว่าพวกเขาต้องรับการฝึกฝนมากขึ้น หรือไม่ได้บอกว่าต้องการขั้นตอนระยะยาวเพื่อเติบโต แต่พวกเขาต้องรอคอยอยู่ในเยรูซาเล็มเพื่อเจอกับเหตุการณ์สำคัญสูงสุดฝ่ายวิญญาณ
ประสบการณ์ของพวกสาวกในวันเพ็นเทคอสได้อธิบายไว้ว่าเป็นการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 2:4) แม้ว่าจะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในเหตุการณ์นั้น แต่ต่อมาเปโตรชี้ชัดว่าการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำคัญครั้งนั้นได้ชำระใจของพวกเขาให้บริสุทธิ์ (กิจการ 15:8-9) นี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับพวกสาวก หลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับความต้องการของชีวิตภายในของพวกเขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาในหัวใจคือ ความเลวทรามที่สืบทอดมา ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อการชำระให้บริสุทธิ์นี้เกิดขึ้นโดยการบัพติศมา (หรือการเต็มเปี่ยม) ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็ไม่ถือว่าความปลอดภัยของตัวเองหรือการเลื่อนตำแหน่งเป็นเป้าหมายหลักอีกต่อไป
[2]เหตุการณ์ในวันเพ็นเทคอสทำให้เกิดคริสตจักรที่มีการประกาศข่าวประเสริฐอย่างทรงพลัง คริสตจักรเต็มไปด้วยความยินดีและชัยชนะทั้ง ๆ ที่มีความขัดแย้งด้านหลักคำสอนนอกรีตของศาสนายิว การกล่าวหากันจากคนภายใน คนหน้าซื่อใจคด การต่อต้านจากผีปีศาจ การกดขี่ข่มเหง และความยากลำบาก
ผู้เชื่ออาจมีความต้องการอย่างเดียวกันกับพวกสาวก ความต้องการนี้ตอบสนองได้โดยการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่นี่ไม่ได้เป็นการกล่าวว่า...
1. ผู้เชื่อไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์จนกว่าเขาจะรับการเต็มเปี่ยมแบบพิเศษนี้
2. ไม่มีการงานใดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฏในผู้เชื่อจนกว่าการเต็มเปี่ยมแบบนี้จะเกิดขึ้น
3. ไม่มีการเต็มเปี่ยมของพระวิญญาณแบบอื่นนอกเหนือจากแบบนี้ที่ชำระใจให้สะอาดได้
4. ทุกคนที่มีการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณจะมีพันธกิจแบบอัครทูต
เราไม่ควรทึกทักว่าประสบการณ์ของเราจะเหมือนกับพวกสาวก อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่จะได้รับการชำระใจให้บริสุทธิ์และรับมอบฤทธิ์อำนาจเพื่อทำพันธกิจยังคงสำคัญสำหรับเรา
จากตัวอย่างของพวกสาวก เราสามารถมองเห็นสิ่งต่อไปนี้
1. ถ้าหากคน ๆ หนึ่งมีความต้องการนี้ เขาย่อมไม่ได้ถูกเตรียมให้พร้อมเต็มที่สำหรับงานพันธกิจหรือมีชีวิตที่บริสุทธิ์
2. พระเจ้าไม่ต้องการทิ้งคน ๆ หนึ่งให้อยู่ในสภาพเช่นนั้น
3. ทางออกไม่ใช่การฝึกอบรมหรือขั้นตอนระยะยาวเพื่อเติบโตฝ่ายวิญญาณ
4. เป็นไปได้ที่ความต้องการนี้จะได้รับการตอบสนองในเสี้ยววินาที หลังจากมีการแสวงหาอย่างถูกต้อง
ผู้เชื่อสามารถรับการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ได้อย่างไร?
เปโตรกล่าวว่ารับได้โดยความเชื่อ (กิจการ 15:8-9) พระเยซูเตรียมพวกสาวกให้มีความเชื่อโดยการให้พระสัญญาและสร้างความคาดหวังให้พวกเขา
ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากคน ๆ หนึ่งมองเห็นความต้องการของตัวเองและเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะตอบสนองความต้องการนั้น เขาก็สามารถรับพระคุณนี้ได้โดยความเชื่อ
“ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระอาจารย์ได้มอบไว้ในมือของพวกเขานั้นเหนือกว่ากำลังของมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงจัดเตรียมทรัพยากรอย่างไม่จำกัดที่เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขา พระองค์ทำให้โลกรู้สึกถึงความบาป ความชอบธรรม
และการพิพากษา พระองค์ไปกับพวกเขาในงานพันธกิจ
ด้วยฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์และด้วยผลลัพธ์อันน่าทึ่ง”
- เอ บี ซิมสัน คำกล่าวจากมิชชันนารี
พวกเขากลายเป็นทีมสักขีพยานอันทรงพลังที่ได้รับการเจิมและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน: ทำตามการเรียกของพระเจ้า พึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
และทำงานเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
นักศึกษาแต่ละคนควรสำรวจตัวเองด้วยการอธิษฐานและเขียนคำตอบของคำถามเหล่านี้ ไม่ต้องส่งกระดาษคำตอบให้หัวหน้าชั้นเรียน
ฉันพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือฉันมีแนวโน้มทำให้สำเร็จตามความสามารถที่ฉันมี?
ฉันมีอุปนิสัยบางอย่างที่แสดงให้เห็นในพวกสาวกซึ่งชี้ให้เห็นว่าฉันจำเป็นต้องได้รับการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?
มีการกระทำใด นิสัยใด ท่าทีใด หรือเป้าหมายใด ที่ฉันไม่ได้ยอมจำนนต่อพระเจ้าหรือไม่?
ฉันเต็มใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ชำระฉันให้สะอาดหมดจด เพื่อพระเจ้าจะใช้ฉันให้ถวายเกียรติแด่พระองค์ไหม?
SGC exists to equip rising Christian leaders around the world by providing free, high-quality theological resources. We gladly grant permission for you to print and distribute our courses under these simple guidelines:
All materials remain the copyrighted property of Shepherds Global Classroom. We simply ask that you honor the integrity of the content and mission.
Questions? Reach out to us anytime at info@shepherdsglobal.org
Total
$21.99By submitting your contact info, you agree to receive occasional email updates about this ministry.
Download audio files for offline listening
No audio files are available for this course yet.
Check back soon or visit our audio courses page.
Share this free course with others